Friday, 20 June 2014 06:44 |
พ่อ – แม่ ล้อลมหายใจ ในวันสุดท้ายของการเข้าค่าย ผมรู้สึกสงบลงมากจากที่เคยเป็นคนพูดมาก ก็สงบลงมาก ผมยังสงสัยตัวเองเลยว่า ความซนของเราหายไปไหน การปฏิบัติธรรมแบบนี้ ผมเคยปฏิบัติมาแล้ว การสวดมนต์นาน ๆ การนั่งสมาธินาน ๆ ผมเคยนำมาแล้ว ดังนั้นพอผมนั่งสมาธิครั้งแรก (ยกแรก) ผมก็รู้สึกสงบทันที สงบในที่นี้คือ “ใจสงบ” แต่กายยังปวดยังเจ็บ ผมก็เคยทำแบบที่อาจารย์บอก ถ้าใจสงบแล้วลองมองจิต มองตัวตนของตนเอง แม้ผมไม่เคยเป็นแชมป์ แต่ผมก็ได้สมาธิมาก ตอนผมนั่งอธิษฐาน ผมไม่ท่องพุทธ-โธ แต่ผมท่อง พ่อ-แม่ ตั้งแต่ยกแรกสำหรับผมคิดถึงพ่อตลอด พ่อผมไปทำงานต่างประเทศตั้งแต่ผมอยู่ ป.4 กลับมาบ้าน ปีละครั้ง ผมจึงคิดถึงพ่อมาก และแม่ผมก็อยู่บ้านเลี้ยงลูก 3 คน (ผมเป็นคนโต) ผมจึงกำหนดลมหายใจว่าพ่อ-แม่ การทำแบบนี้ถึงบางครั้ง อาจจะยังไม่เป็นสมาธิ แต่มันจะทำให้เราระลึกถึงพ่อ-แม่อยู่เสมอ ผมรู้สึกดีที่มาที่นี่แม้จะไม่เต็มใจมาเหมือนคนอื่นนั้นแหละ คติที่ได้จากการทำสมาธิ คือ รู้จิตเหมือนรู้แสงไฟส่องทาง
นายภาคิน เจริญรักษ์ โรงเรียนครบุรี ม.4/3 เขียนไว้ ณ วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2557
คิดได้ก็สายไปแล้ว มาวันแรกรู้สึกว่ามาทำไม มาแล้วได้อะไร!! ถามตัวเองอยู่สักพัก พอวันที่สองก็ยังคล้าย ๆ กับวันแรก ยังคิดว่ามันหน้าเบื่อ ความรู้สึกตอนนั้นบอกเลยว่า...อยากกลับบ้านม๊าก มาก แต่ก็ต้องทนอยู่ต่อไป พอได้วันที่สามงงตัวเองมาก เพราะได้ไปนั่งสมาธิลานธรรม รู้สึกได้ว่าข้างบนนี้น่าอยู่มากเป็นความรู้สึกว่าที่แบบนี้แหละเหมาะกับการปฏิบัติภาวนา มันเป็นความรู้สึกที่แตกต่างกับ 2 วันแรกโดยสิ้นเชิง รู้สึกผ่อนคลายปล่อยวางทุกสิ่ง ดิฉันนั่งได้ประมาณ 1 ชั่วโมง เกิดมาไม่เคยนั่งสมาธิที่ไหนนานเท่านี้มาก่อน ดิฉันเคยเข้าค่ายธรรมะมาแล้วนะ แต่ไม่เคยมีสมาธิมาก่อน วอกแวกตลอด พออยู่มาจนถึงวันที่สี่มันรู้สึกว่าอยากอยู่ต่อ อันนี้เป็นความรู้สึกจริง ๆ นะ มันเป็นความรู้สึกที่ดิฉันอธิบายไม่ถูก พอตกค่ำ ดร.ดาราวรรณ เปิดวิดีโอพระคุณแม่และพระคุณพ่อให้ดูดิฉันรู้สึกว่าเราเกิดมาเติบโตขนาดนี้ เพราะพ่อและแม่ดิฉันไม่ได้อยู่กับพ่อแม่เลย เพราะพอเกิดมาลุงก็ไปรับดิฉันจากร้อยเอ็ดมาอยู่โคราชกับย่า พอจำความได้รู้แค่ว่าแม่ป่วยเป็นมะเร็งปากมดลูก แม่เสียตั้งแต่ดิฉันอายุ 5 ขวบ ดิฉันก็อยู่กับย่ามาตลอด ต่อมาพ่อก็พาไปอยู่หนองกี่ จ.บุรีรัมย์ ก็อยู่กับพ่อได้ไม่ถึงอาทิตย์ก็ให้พ่อพากลับมาอยู่กับย่า เพราะดิฉันไม่ติดพ่อ ดิฉันเลยไม่เคยรู้เลยว่าความอบอุ่นจากพ่อและแม่เป็นความอบอุ่นแบบไหน จนกระทั่งดิฉันอายุได้ 13 ปี พ่อของดิฉันก็ตาย ฉันเลยกลายเป็นเด็กกำพร้าทั้งพ่อและแม่ ก็อยู่กับย่ามาโดยตลอด พอ ดร.ดาราวรรณ พูดถึงบุญคุณของพ่อแม่ดิฉันรู้สึกว่าตอนที่พ่ออยู่กับฉันนั้นไม่เคยดูแลท่านเลย ไม่เคยได้ตอบแทนบุญคุณของท่านทั้งสอง ดิฉันรู้สึกเสียใจจนกลั้นน้ำตาไว้ไม่อยู่ และดิฉันอยากบอกว่าคนที่พ่อแม่ยังมีชีวิตอยู่ก็ควรจะดูแลท่านทั้งสองให้ดี เพราะถ้ามันสายไป “เราจะย้อนมันกลับมาไม่ได้อีกเลย” นางสาวนิยะดา แป้นดวงเนตร์ โรงเรียนครบุรี ชั้น ม.4/6 เขียนไว้ ณ วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2557 ได้กลับบ้าน (เก่า) จริง ๆ ...เช้าวันที่ 3 ตื่นเช้ามาร้องบอกเพื่อนเลย อยากกลับบ้าน ๆ พอเข้ามาในศาลามาเดินจงกรม นั่งสมาธิ นั่งไปก็คิดไป ตอนแรกก็พุทโธ แต่พอนั่งไปเรื่อยนี้สิ ใจมันก็คิดแค่จะกลับให้ได้ อยู่ ๆ ใจมันก็ร้องมาเองว่า กลับบ้าน กลับบ้าน ๆ ๆ ๆ พอจิตสงบก็เกิดภาพนิมิต มีชายคนหนึ่งใส่ชุดขาว น่านับถือ ชายวัยกลางคน เดินชายเข้ามา แล้วถามข้าพเจ้า นี่หนูเป็นอะไรถึงได้มานั่งอยู่ตรงนี้ ข้าพเจ้าก็ตอบไปว่า หนูปวดเมื่อยตัวเหลือเกิน หนูอยากกลับบ้าน ชายคนนั้นจึงตอบกลับมาว่า มาสิเดี๋ยวฉันจะพาไป ข้าพเจ้าก็เลยเดินตามชายคนนั้นไป เขาพาไปหยุดอยู่ที่บ้านไม้หลังหนึ่ง แล้วบอกว่า ถึงแล้วบ้านของเจ้าเข้าบ้านไปสิ ข้าพเจ้าจึงปฏิเสธไปทันทีว่า บ้านหลังนี้ไม่ใช่บ้านของหนู ชายคนนั้นก็พูดต่อมาอีกว่า ดูก่อนเถิดเจ้าเห็นเด็กน้อยผู้นั้นไหม ข้าพเจ้าก็ตอบรับไปว่าเห็นค่ะ เขาเป็นใครหรือ ชายคนนั้นก็บอกกับมาอย่างหนักแน่นทันทีว่า ก็ตัวเจ้านะสิจะใครซะอีก ข้าพเจ้าคิดว่าเขาคงล้อเล่นแน่ ๆ จึงบอกไปว่า คุณลุงดูหนูให้ดีก่อนสิคะ หนูเป็นผู้หญิง ส่วนเด็กน้อยผู้นั้นเขาเป็นชาย ชายคนนั้นพูดขึ้นมาในทันทีว่า งั้นเจ้าดูเองเถิดนะ พอมองไปก็เห็นเด็กผู้ชายคนนั้นกำลัง รังแกสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่อยู่ ข้าพเจ้าก็กลับไปถามคุณลุงว่า ให้หนูดูเด็กคนนั้นทำไมหรือคะ นิสัยไม่ดีเลย ชายคนนั้นจึงตอบกลับมาว่า นี้ละคือเหตุที่เจ้าป่วยเป็นโรค ทั้ง ๆ ที่พ่อแม่เจ้าก็ไม่เป็นเจ้ารู้หรือยังล่ะ ข้าพเจ้าจึงถามต่อว่า ในเมื่อหนูรังแกสัตว์ขนาดนั้นแล้วทำไมหนูยังได้เกิดมาอีกล่ะคะ ชายคนนั้นบอก ก็เพราะเจ้าไม่ดื้อกับพ่อแม่แถมยังได้บวชอีกไงล่ะ งั้นเจ้ารีบกับไปเถิดนะคนอื่นเค้าจะรอนาน หมายเหตุ ผู้เขียนป่วยเป็นโรคทาลัสซิเมียขั้นรุนแรง ต้องถ่ายเลือดเป็นประจำ เคยเกิดอาการ วิกฤตจนเกือบตายมาแล้ว นางสาวกาญจนา ปุ๊กสันเทียะ โรงเรียนขามทะเลสอวิทยา ชั้น ม.5/3 เขียนไว้ ณ วันที่ 3 มิถุนายน พ.ศ.2557
|
Last Updated on Friday, 20 June 2014 07:52 |