เรื่องกิเลส เรื่องของโลก เราได้ฝึกฝนอบรมมาจนคล่องตัวเหมือนกัน สมาธิภาวนาเรามาเริ่มใหม่ เรามาฝึกฝนอบรมใหม่ ๆ ทีนี้อำนาจฝ่ายต่ำที่เราปล่อยจิตปล่อยใจให้เป็นไปตามอำนาจของมันมานานแล้วจนมันคล่องตัว โลภ โกรธ หลงอะไรต่าง ๆ เป็นกิเลสที่เราฝึกฝนอบรมมาโดยไม่ได้ตั้งใจ ฝึกและรับเอาเข้ามาจนมันมาเป็นเจ้าเรือนแล้ว เราจะขับไล่ไสส่งมันออกไปง่าย ๆ ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราะฉะนั้น ต้องตั้งใจปฏิบัติโดยมอบกายถวายชีวิต บูชาต่อพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ ต่อคุณงามความดี เพราะว่าอุบายวิธีอันนี้เป็นวิธีการดับไฟนรกเมื่อเรามาปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ มีศีลบริสุทธิ์ มีจิตบริสุทธิ์มีปัญญาอันบริสุทธิ์มันก็เป็นอุบายดับไฟนรกทันที ดังนั้นขอให้ทุกท่านจงตั้งใจจริง ปฏิบัติกันจริง ๆ อย่าทำเหลาะแหละ ไม่ต้องไปไขว่คว้ากันที่ไหน ตั้งใจหาความดีในจิตในใจของเรานั่นแหละ
ก่อนอื่น ขอให้พยายามให้ได้สมาธิในขั้นต้น คืออุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ เมื่อเราทำได้แล้ว ภูมิจิตภูมิใจของเราจะขยายวงกว้างออกไปเอง เรามีศีลบริสุทธิ์สะอาดเป็นเครื่องอบรมสมาธิ เรามีสมาธิที่มีจิตมั่นคงต่อการกระทำความดี มันเป็นอุบายให้เกิดปัญญา เพราะฉะนั้น อย่าไปกลัวว่าจิตเป็นสมาธิแล้วจะไม่เกิดความรู้ ไม่เกิดปัญญา ขอให้ทำให้ได้ ถ้าเราทำจริงก็ได้จริง อย่าทำแต่เวลามาเข้าปฏิบัติในศูนย์หรือเฉพาะเวลานั่งสมาธิท่าเดียว ถ้าใครจะภาวนาพุทโธ ก็ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ภาวนาพุทโธได้ตลอดกาล ผู้ที่มีสติคล่องแคล่วว่องไวดีแล้วไม่ต้องภาวนาพุทโธ ให้กำหนดลมตามรู้การยืนเดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ แล้วสมาธิจะบังเกิดขึ้นมาเองไม่ต้องสงสัย
ปัญหาที่ว่าทำอย่างไรจิตจะได้สมาธิเร็ว คำตอบก็คือว่าทำให้มันมาก ๆ ไม่มีที่ไหนที่เขาจะสอนให้ได้สมาธิอย่างเร็ว ๆ ไม่มี พระพุทธเจ้าท่านไม่ได้และไม่เคยท้าทายกับบุคคลผู้ใดใครผู้หนึ่ง อุปนิสัยบุญบารมีของคนมันต่าง ๆ กัน ไม่เหมือนกัน บางท่านปฏิบัติง่ายและบรรลุง่าย บางท่านปฏิบัติง่ายแต่บรรลุยาก บางท่านปฏิบัติยากแล้วก็บรรลุยากด้วย บางท่านปฏิบัติยากแต่บรรลุง่าย นี่คือการแบ่งขั้นแห่งภูมิบารมีของแต่ละบุคคล เพราะฉะนั้นอย่าไปรีบเร่ง ปฏิบัติอย่างใจเย็น ๆ นึกพุทโธ ๆ ๆ ๆ อยู่ในจิตของเรานั่นแหละ ในเมื่อเรามานึกพุทโธๆๆ ไม่หยุด จิตไม่มีช่องว่าง มันก็ไม่มีโอกาสจะไปคิดสร้างบาปอกุศลที่ไหนเพราะมันอยู่กับพุทโธแล้ว เมื่อภาวนาพุทโธหนักๆ เข้าพุทโธวิ่งเข้าไปอยู่ในจิต จิตกลายเป็นพุทโธ เป็นพุทธะ ผู้รู้ พุทธะ ผู้ตื่น พุทธะ ผู้เบิกบาน ดังที่กล่าวแล้ว
การฟังธรรมะ การเรียนธรรมะ มีความรู้จากการฟัง มีความรู้จากการเรียน มีความรู้จากการอ่านหนังสือ มีความรู้จากประสบการณ์ เรามีภูมิความรู้ที่จะพูดจะคุยอวดกันได้ทั้งนั้น แต่ว่าการปฏิบัติของเรายังไม่ถึงขั้น เพราะฉะนั้นจึงควรจะขยันขันแข็ง เอาชีวิตเข้าแลก เงินทองมองเห็นอยู่ เราก็ยังเอายากเหลือทน คุณธรรมซึ่งเกิดขึ้นในจิตในใจ มองไม่เห็นด้วยตา เพียงแต่รู้ด้วยจิตเท่านั้น มันก็ยิ่งจะเอายาก เพราะฉะนั้นถ้าท่านผู้ใดอยากได้คุณธรรม ก็ต้องทำให้แน่วแน่ วิธีทำให้แน่วแน่คือทำอย่างไร ? จะภาวนาพุทโธ ๆ ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหัง ฟัดมันตลอด ๒๔ ชั่วโมงนั่นแหละ
มันเป็นได้อย่างไร ภาวนาตลอด ๒๔ ชั่วโมงนี่เป็นไปได้อย่างไร ?
มันเป็นไปได้จริง ๆ เมื่อเราภาวนาด้วยความตั้งใจพุทโธ ๆๆ เมื่อจิตเป็นสมาธิดีแล้วนี่ เวลาเรานอนลงไปเราภาวนาพุทโธๆๆ พอพุทโธแล้วไม่ทราบมันหลับไปแต่เมื่อ ไหร่ หลับไปแล้วจิตยังภาวนาพุทโธ ๆ อยู่ตลอดคืนย่ำรุ่ง ทำให้ผู้ภาวนารู้สึกว่าตัวเองนอนไม่หลับทั้งคืนแต่แท้ที่จริงกายมันหลับได้เป็นอย่างดี แต่จิตมันไม่หลับเมื่อก่อนธรรมดาเรานอนหลับ เราหลับทั้งกายหลับทั้งจิตแต่นักภาวนาที่ทำสมาธิเก่ง แล้วสมาธิมีอยู่ตลอดเวลา เมื่อนอนหลับลงไปแล้ว กายมันหลับแต่จิตมันตื่น ไม่มีกลางวันไม่มีกลางคืน นั่นเป็นธรรมชาติแห่งคุณธรรมคือพุทธะเกิดขึ้นในจิตของผู้ภาวนาจะเป็นอย่างนั้น ดังนั้นจึงได้กล้าใช้คำว่า ภาวนาพุทโธอยู่ตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพราะมันได้เป็นไปแล้ว
ถ้าท่านผู้ใดจะพิจารณาอะไร เช่น พิจารณากายคตาสติ ก็ตั้งใจพิจารณา อะยัง โข เม กาโย กายของเรานี้แล อุทธัง ปาทะตะลา เบื้องบนแต่พื้นเท้าขึ้นมา อะโธ เกสะมัตถะกา เบื้องต่ำแต่ปลายผมลงไป ตะจะปะริยันโต มีหนังห่อหุ้มอยู่เป็นที่สุดรอบ ปุโร นานัปปะการัสสะ อะสุจิโน เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ
เกสา คือผม ได้แก่สิ่งที่เป็นเส้น ๆ เกิดอยู่บนศีรษะเมื่อน้อยก็มีสีดำ เมื่อแก่เปลี่ยนเป็นสีขาว เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครกเพราะเกิดอยู่ในที่สกปรกโสโครก ชุ่มแช่ไปด้วยปุพโพ (น้ำเหลือง) โลหิต ผู้ที่เป็นเจ้าของต้องบริหารรักษา ต้องตัดต้องดัดต้องแต่ง ต้องขัดต้องล้างฟอกด้วยสบู่ ประดับด้วยของหอม ที่ทำเช่นนั้นเพราะผมเป็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก
โลมา ขน เกิดอยู่ที่ร่างกายเว้นฝ่ามือและฝ่าเท้ามีอยู่ทั่วไปในร่างกาย เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครกเพราะเกิดอยู่ในที่สกปรก ชุ่มแช่ไปด้วยปุพโพโลหิต เราจะต้องทำความสะอาดอยู่เสมอ
นะขา เล็บ เกิดอยู่บนปลายนิ้วมือนิ้วเท้าทั้ง ๒๐ นิ้ว เราใช้หยิบจับสิ่งต่างๆ ทำให้ถูกต้องกับของสกปรก ต้องแกะต้องแคะมูลเล็บ ทำความสะอาดล้างด้วยสบู่ ถ้าปล่อยเอาไว้ก็ดำเหม็นสาบเหม็นสาง เป็นสิ่งที่ปฏิกูลน่าเกลียดยิ่งนัก
ทันตา ฟัน เกิดอยู่ในเหงือกข้างบนและข้างล่าง เราใช้สำหรับเคี้ยวบดอาหาร เป็นของสกปรกปฏิกูลเพราะเกิดอยู่ในที่สกปรก ชุ่มแช่ไปด้วยปุพโพโลหิต น้ำลายและเสลดอะไรต่าง ๆ เราต้องคอยทำความสะอาด คอยแกะ คอยแคะคอยแปรงฟัน ถ้าปล่อยไว้ก็เกิดกลิ่นเหม็น เป็นสิ่งที่น่าเกลียดยิ่งนัก
ตะโจ หนัง เป็นสิ่งที่ห่อหุ้มอยู่ทั่วร่างกาย เมื่อเวลาเหงื่อไคลไหลออกมาในกาย ก็ทำให้ผิวหนังสกปรกเป็นขี้ไคล เราจะต้องอาบน้ำฟอกสบู่ประดับตกแต่ง ที่ไหนดำ ๆ ด่างๆ ก็เอาแป้งมาพอกเข้าให้มองเป็นผิวเสมอกัน ที่เราทำเช่นนั้นเพราะมันเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก ถ้าปล่อยไว้ก็เหม็นสาบเหม็นสาง น่าเกลียดยิ่งนัก
ให้พิจารณากลับไปกลับมา พิจารณาสิ่งทั้งห้านี้ก่อน เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ เป็นกรรมฐานเบื้องต้นที่นักบวชนักปฏิบัติทั้งหลายต้องรีบเร่งพิจารณาให้เห็นเป็นไปตามความเป็นจริง คือเป็นของปฏิกูล เพราะสิ่งทั้งห้านี้เป็นเครื่องหมายแห่งความสวยความงาม คนเรามาติดกันอยู่ที่สิ่งทั้งห้านี่แหละ คนที่มีผมงาม เขาก็เรียกคนงาม มีขนงามเขาเรียกว่าคนงาม มีเล็บงามเขาก็เรียกว่า คนงาม มีฟันงามเขาก็เรียกว่าคนงาม มีหนังงามเกลี้ยงเกลาสะอาดดีเขาก็เรียกว่าคนงาม ในเมื่อเราไปมีความสำคัญมั่นหมายว่าเป็นของงาม ของสวย เราก็เกิดความใคร่ยินดี ไปหลงรักหลงชอบ เพราะฉะนั้น เพื่อเป็นอุบายขจัดราคะ ความกำหนัดยินดี พระพุทธเจ้าท่านจึงสอนให้พิจารณาสิ่งเหล่านี้ให้รู้ให้เห็นตามความเป็นจริง อย่างน้อยให้เกิดศรัทธาวิโมกข์คือการน้อมใจเชื่อ เพียงน้อมใจเชื่อเท่านั้นก็ทำให้กิเลสเบาบางไปแล้ว