ความรักคือยอดปรารถนาของสังคม PDF 
Tuesday, 05 May 2009 02:21

ศาสนาพุทธ พระพุทธเจ้าสอนให้เราสร้างความรัก ความเมตตาปรานี จุดแรกที่สุดนี่ให้สร้างความรักก่อน ทำไมจึงต้องสร้างความรัก คนเรารักกันแล้วมันจับมือกัน ช่วยกันสร้างสรรค์ประเทศชาติบ้านเมืองให้เจริญ ในทางคณะสงฆ์ ถ้าคณะสงฆ์มีความรัก ความเมตตาปรานีกัน ก็ร่วมกันทำงานพระศาสนาให้เจริญ เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นยอดปรารถนาของลังคม ทีนี้ในวงการหนึ่ง ๆ สถาบันหนึ่งๆ ถ้าเราไปรุมเกลียดคนสักคนหนึ่ง หรือคนทั้งหลายต่างคนต่างเกลียดขี้หน้ากัน ชวนกันทำงานมันก็ไม่ร่วมมือกัน ทีนี้สิ่งที่จะได้รับคืออะไร บ้านเมืองล่มจม คณะสงฆ์ต่างคนต่างขัดผลประโยชน์กัน ต่างทะเลาะวิวาทกัน ผลลัพธ์คืออะไร คือศาสนาล่มจม นี่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ ในฐานะที่เราเป็นชาวพุทธ เราควรจะคิดให้มากๆ

อย่านับขั้นสมาธิ
สมาธิมีขั้นเดียว คือสมาธิ มันจะก้าวไประดับไหน ก็คือสมาธิอันเดียว อย่าไปนับขั้นนับตอนอะไร ขอให้มันเป็นสมาธิ เมื่อจิตเป็นสมาธิแล้วเราละบาปได้หรือเปล่า ศีล ๕ เราบริสุทธิ์หรือเปล่า เอากันที่ตรงนี้เป็นเครื่องตัดสิน เรื่องของสมาธิใครจะไปถึงขั้นใดตอนใด ถ้าจิตไม่บริสุทธิ์ไม่มีทาง

ในสังคมของพุทธบริษัทที่เราต้องวุ่นวายกันอยู่นี่ เพราะศีลมันไม่เสมอกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระเจ้าพระสงฆ์นี่ องค์หนึ่งกินนมตอนเย็นได้ แต่อีกองค์หนึ่งกินไม่ได้ พอมาเจอกันเข้าท่านก็เถียงกัน องค์หนึ่งจับจ่ายใช้สอยด้วยมือตนเองไม่ได้ แต่อีกองค์หนึ่งทำได้ มาเจอกันเข้าท่านก็เถียงกัน เพราะฉะนั้น ไม่ว่าการปกครองบ้านเมืองปกครองศาสนา บ้านเมืองกฎหมายรัฐธรรมนูญนั่นแหละเป็นหลักสำคัญ ทางศาสนาศีลคือวินัยเป็นหลักสำคัญ กฎหมายก็ดี ศีลคือวินัยก็ดี เป็นหลักที่เราจะปรับความประพฤติให้มีพื้นฐานเท่าเทียมกัน ถ้าเราไปยิ่งหย่อนกว่ากันแล้วก็มีการปรักปรำกัน

แต่ทางกฎหมายปกครองบ้านเมือง ในเมื่อมีคดีเกิดขึ้นก็ต้องมีโจทก์มีจำเลย มีหลักฐานพยาน แต่ศีลคือวินัยที่พระพุทธเจ้าทรงบัญญัตินี่ ตัวเองเป็นโจทก์ตัวเอง ตัวเองเป็นจำเลยตัวเอง ตัวเองเป็นหลักฐานพยานตัวเอง คือตัวเองต้องพิจารณาตัวเองว่ามีความบริสุทธิ์หรือไม่บริสุทธิ์ เพราะฉะนั้น เราปฏิบัติสมาธิ จิตของเราจะไปถึงสมาธิขั้นใดตอนใด กี่ขั้นกี่ตอนก็ตาม ผลลัพธ์ก็คือว่าเราละความชั่ว นี่มันอยู่ที่ตรงนี้ ทีนี้หลักการพิสูจน์ว่าเราละความชั่วได้หรือเปล่า ถ้าสมมติว่าเรามีครอบครัว เราไม่แอบไปหากำไรนอกบ้าน นั่นแสดงว่าเราบริสุทธิ์แล้ว ดูกันง่ายๆ อย่างนี้ อย่าไปดูให้มันลึกนัก สำคัญที่ปัจจุบัน

โลภแต่ไม่บาป
พระไปเทศน์ว่า โยม.. โยม อย่าโลภมากนัก อย่าไปเชื่อพระ พระสอนศาสนาผิด ถ้าใครบอกว่า โยม มีความโลภ อยู่ในใจนั่นน่ะจะหาผลประโยชน์อะไรอย่าลืมนึกถึงศีลถึงธรรมเน้อ อันนี้เชื่อได้ เราจะโลภแค่ไหน เราจะแสวงหาผลประโยชน์อันใด ถ้าไม่ผิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง เชิญตามสบาย ไม่ต้องเกรงใจ พระพุทธเจ้ามีแต่ยกย่อง ท่านไม่ด่าดอก ทำไมล่ะ ในคำสอนของ พระองค์ท่านมี เรามีหลักฐาน

ใครต้องการผลประโยชน์ในปัจจุบัน อุฏฐานสัมปทา จงหมั่นขยันในการแสวงหาผลประโยชน์ ถ้าความโลภ มันไม่ดี ทำไมพระพุทธเจ้าจะสอนให้เราหมั่นขยันล่ะ พระองค์ให้ระวังเพียงแค่ว่า ต้องการผลประโยชน์อันใด อย่าทำผิดศีลธรรมและกฎหมาย ปกครองบ้านเมือง ถ้ามันไม่ผิด ใครจะทะเยอทะยานไปแค่ไหนจรดฟ้าจรดแขนก็เชิญตามสบาย พระองค์กลับจะยกย่องว่าเป็นคนรู้จักหา เอาผลประโยชน์โดยชอบธรรม ทีนี้พอได้มาแล้วพระองค์ว่า อารักขสัมปทา จงรู้จักรักษานะ แน่ะ... สอนให้เราตระหนี่ เพราะพระองค์รู้ว่า คนไม่ตระหนี่ไม่มีทางเป็นเศรษฐีได้ นี่เรียนธรรมะต้องส่องให้มันจบ ในเมื่อพร้อมด้วยทรัพย์สมบัติ เกียรติยศ และอำนาจ กัลยาณมิตตตา จงสร้างความดีกับเพื่อนบ้าน ให้เพื่อนบ้านเขารัก เคารพบูชา เราจะได้มีกำลังช่วยรักษาชีวิตและทรัพย์สมบัติของเรา สมชีวิตา เลี้ยงครอบครัว ตลอดจนบริวารที่เกี่ยวข้องให้สุขสบายตามสมควร อันนี้คือหลักของพระองค์ท่าน พอท่านว่า อย่าโลภๆๆ วันนี้ไปทำงานจะได้เงินสักล้านสองล้าน ได้สักหมื่นสองหมื่นก็พอแล้ว ขืนไปทำมากกว่านี้มันผิดความโลภ พระพุทธเจ้าจะด่า นั่นเข้าใจผิด อันใดที่ไม่ผิดศีลธรรมกฎหมายปกครองบ้านเมือง ทำมันลงไป พวกหวังรวยด้วยการค้ายาเสพติด ค้ายาบ้าหรืออะไร ทุจริตด้วยประการต่างๆ นี่ อันนั้นมันผิดศีลธรรม เราอย่าไปเอา

แก้กรรม
วิถีชีวิตของคนเราจะผิดหวังสมหวังมีสุขมีทุกข์มั่งมียากดีมีจนอย่างไร มันขึ้นอยู่กับกฎของกรรม แต่ถ้าไปหาหมอโหรเขาว่าดวงชะตามันตก แต่แท้ที่จริงกฎของกรรมอันเป็นบาปซึ่งเราอาจจะทำแต่ชาติก่อนภพก่อนมันให้ผล แล้วทีนี้เราจะไปแก้กรรม แก้ผลของกรรมนี่มันแก้ไม่ได้ ใครทำกรรมใดไว้ก็ต้องได้รับผลของกรรมนั้น จะดีก็ตามชั่วก็ตาม แต่พิธีกรรมที่เขาให้ทำนั้น บางอย่างถ้ามันถูกต้องเป็นแนวทางแห่งบุญกุศล พอเราทำแล้วมันได้บุญ บุญนี้ก็ต่อวิถีชีวิตของเราให้ยืนยาวไปอีกพักหนึ่ง เมื่อหมดบุญแล้วกรรมเก่าที่มันวิ่งตามอยู่เหมือนกับหมาไล่เนื้อ มันทันเมื่อไรมันก็กระโดดกัดเมื่อนั้น

เพราะฉะนั้น การสะเดาะเคราะห์ การแก้กรรมแก้เวร เราจะตัดกรรมตัดเวรก็รักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ ทีนี้กรรมที่เราทำนั้น ผลของมันไม่มีใครตัดได้ แต่เวรคือความผูกพยาบาทอาฆาต อันนี้ เราสามารถตัดได้ถ้าหากว่าเราพูดจาตกลงกันได้ เช่นอย่างคนข้างบ้านเคยด่ากันอยู่ทุกวันๆ ๆ ต่างคนต่างก็อาฆาตพยาบาทจองเวรซึ่ง กันและกัน ถ้าหากว่าเราคุยกันรู้เรื่องแล้วเรายกโทษให้กัน อันนี้เรียกว่า ตัดเวร คือตัดความผูกพยาบาทอาฆาต แต่ว่าผลกรรมที่เราด่าเขา เขาด่าเรา นั่นมันตัดไม่ได้

ใจใส กายสุข
ถ้าเราสามารถทำใจให้ว่างๆ ได้บ่อยๆ สุขภาพร่างกายจะแข็งแรงสมบูรณ์ เพราะใต้สมองของคนเรามันมีสารอยู่ตัวหนึ่ง ถ้าเวลาใจว่างมันจะกระจายออกมาทำงาน จะทำให้สุขภาพร่างกายแข็งแรงสมบูรณ์ หลวงพ่อนี่วิ่งอยู่ไม่หยุด ถ้าไม่อาศัยภาวนาแล้ว ล้มไปนานแล้ว ในร่างกายของคนเรานี่มันมีสิ่งที่ช่วยตัวของเขาเองอยู่ตลอดเวลา แต่เราไปมองข้าม มีอะไรนิดหน่อยวิ่งหาแต่หมอวิ่งหาแต่ยา มันก็เลยเคยตัว ยาทั้งหลายนี่ถ้ากินมากมันทำให้ติด ยาแก้ปวดนี่ไม่กินแล้วอยู่ไม่ได้ พระองค์หนึ่งติดยาแก้ปวด ตื่นเช้ามาลุกแทบไม่ไหว พอได้ยานี่เม็ดหนึ่ง ลุกขึ้นมาครองผ้าไปบิณฑบาตได้ แต่ไม่ได้กินแล้วลุกไม่ขึ้น ฉะนั้น หลวงพ่อนี่เป็นหวัดเป็นไข้นิด ๆ หน่อย ๆ ไม่ฉันยาหรอก นั่งสมาธิ ถ้าไม่หายจริงๆ นั่นแหละจึงจะยอมฉันยา ทุกวันนี้เป็นเบาหวาน ถ้าลำพังตัวเองแล้วไม่สนใจกับมันหรอก มีแต่คนอื่นมาเคี่ยวเข็ญให้ไปหาหมอ เอาหมอมาหาบ้าง ไปหาหมอบ้าง

เพราะฉะนั้น ให้พยายาม ถ้าอยู่ว่าง ๆ นั่งดูนอนดูลมหายใจเฉย.. อย่าไปกังวลถึงอะไรเลย พุทโธก็ไม่ต้องว่า ยุบหนอพองหนอ สัมมาอรหังก็ไม่ต้องว่า ดูลมหายใจมันเฉยๆ นี่ ทีนี้จิตของเรามีพลัง ถ้าหากว่าเราตั้งใจกำหนดรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งในกายของเรา มันจะเกิดพลังงาน พลังจิตมันมาประสานกับวัตถุคือร่างกาย มันทำให้เกิดประโยชน์แก่ร่างกาย หลวงพ่ออ่านคัมภีร์ธรรมะ ก็อ่านคัมภีร์หมอด้วย เพราะว่ามันใกล้กัน เรียนธรรมะ ปฏิบัติธรรมะ เป็นหลักสูตรรักษาใจ วิชาแพทย์เป็นสูตรสำหรับรักษาร่างกาย เพราะฉะนั้น ถ้าเราเข้าใจทั้งสองอย่างแล้วก็สบาย

หลวงพ่อป่วยเป็นวัณโรคที่เมืองอุบลฯ เมื่ออายุ ๒๒ ปี ภาวนาลูกเดียว ภาวนาจนกระทั่งตัวหาย พอตัวหายบ่อย ๆ ใจมันก็ทะนงขึ้นมา โรคภัยไข้เจ็บมันเป็นที่กาย มันไม่ได้เป็นที่ใจ ภายหลังมา ถ้ามันหงุดหงิดรำคาญเพราะความเจ็บป่วย ใจมันมักจะนึกว่า ฉันไม่ได้จ้างแกมาเกิด ไม่ได้จ้างแกมาตาย อยากตายเชิญเลย มันท้าทายอย่างนี้ มันก็สบาย บางทีก็ลองตายเล่น ๆ ลองดู วิธีตายเล่นๆ นี้ทำยังไง ภาวนาจนกระทั่งจิตมันสงบ ต่างกายตัวตนหายไปหมด เหลือแต่จิตดวงเดียวสว่างไสวอยู่ อันนี้เขาเรียกว่าตายเล่นหรือหัดตายก่อนที่เราจะตายจริง เมื่อเราตายมันก็มีลักษณะอย่างนี้เหมือนกัน ถ้าจิตเข้าสมาธิ มันไม่สัมพันธ์ กับร่างกาย มันแยกตัวออกไปอยู่ต่างหาก นั่นคือตาย แต่ในช่วงนั้นเราไม่รู้หรอกว่าเราตาย คนเราทุกคนตายไม่รู้ตัวว่าตัวตาย ฉะนั้นบางคนไม่รู้ว่าตัวตายยังไม่ได้ไปไหน บุญบาปยังไม่ให้ผล จึงไปเที่ยวเคาะประตูบ้านก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่นั่น เขาถือว่าเขาเป็นคนอยู่ คนตายธรรมดาพอวิญญาณออกจากร่างมีตัวมีตนเดินออกหนีไป ถ้าอยู่ในสมาธิ ละเอียด มีแต่จิตวิญญาณลอยออกไปเป็นดวงสว่าง เพราะฉะนั้นการปฏิบัติสมาธิคือการหัดตายเอาไว้ก่อนที่เราจะตายจริง

การพักผ่อนในสมาธิมีคุณค่ากว่าการนอนหลับธรรมดา เมื่อก่อนนี้อยู่กับหลวงปู่เสาร์ ท่านนอนดึ้ก..ดึก แต่เสร็จแล้วเรานอนก่อนท่าน ท่านตื่นก่อนเราทุกที ถามว่าหลวงปู่นอนวันละกี่ชั่วโมง บางทีชั่วโมงเดียว บางทีก็ ๒ ชั่วโมง บางที ๓ ชั่วโมง แต่ไม่เคยเกิน ๓ ชั่วโมง อยู่ได้ยังไง

Last Updated on Tuesday, 05 May 2009 02:34
 

ค้นหา (พิมพ์คำที่ต้องการค้นหา แล้วกดปุ่ม Enter)

ร้านจักรวาลอ๊อกซิเย่น

Banner

น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

Banner

เข้า Facebook ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดวะภูแก้ว

Banner

แห่เทียนพรรษา 2558

Banner

ฐานิยปูชา 2556

Banner

www.thaniyo.net

Banner

ฐานิยปูชา 2555

Banner

เชิญชม วิดีโอ การแสดงธรรมของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

วัดป่าสาลวัน

Banner

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

palungdham.com

Banner

ฐานิยปูชา 2553

Banner

สำรวจความคิดเห็น

เหตุผล สำคัญที่สุด ในการเข้ารับการอบรมพัฒนาจิต ที่วัดวะภูแก้ว ?
 

แบบสำรวจความคิดเห็น

วัดวะภูแก้วควรปรับปรุงเรื่องใดมากที่สุด
 

แบบสำรวจ

พระสงฆ์ในทัศนะของท่าน ?
 

โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านได้ที่สมุดเยี่ยม

Banner