ก่อนตรัสรู้เป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า |
Thursday, 23 April 2009 13:54 | |
กฎธรรมชาติ ทีนี้ ข้อที่ ๒ จุตูปปาตญาณ การจุติและการเกิดของสัตว์ทั้งหลายเป็นไปตามกฎของกรรม สัตว์ก็ดี มนุษย์ก็ดี ภูติผีปีศาจ เปรต อสูรกายก็ดี ซึ่งเขามีภพภูมิต่างๆ ก็เป็นไปตามกฎของกรรม แม้แต่มนุษย์เราเกิดมาก็ย่อมมีผู้สูง ผู้ต่ำ ผู้อ้วน ผู้ผอม ผู้ขาว ผู้ดำ รูปร่างสดสวยงดงาม ขี้ริ้วขี้เหร่ ยากจนเข็ญใจ มั่งมีเป็นมหาเศรษฐี มียศถาบรรดาศักดิ์ เป็นเจ้าเป็นนายใหญ่โต เป็นกรรมกร เป็นอะไรสารพัด ธาตุกายเหล่านี้ พระพุทธเจ้าท่านว่า มันเป็นไปตามกฏของธรรมชาติ เพราะฉะนั้น จึงมีคำภาษิตว่า กัมมัง สัตเต วิภัชฌติ กรรมย่อมจำแนกสัตว์ให้มีประเภทต่างๆ กัน อันนี้เป็นวิชชาข้อที่ ๒ ที่พระองค์ทรงตรัสรู้ วิชชาข้อที่ ๓ อาสวักขญาณ คือ ญาณหยั่งรู้ อาสวกิเลส อันเป็นเหตุให้สัตว์ต้องทำกรรม คือ อวิชชา ความรู้ไม่จริง ส่วนใหญ่อวิชชา แปลว่า ความไม่รู้ แต่น่าจะแปลว่า ความรู้ไม่จริงจะเหมาะสมกว่า คนเราทุกคนมีความรู้กันทุกคน แต่ความรู้จริงเห็นจริง ตรงตามกฎของธรรมชาติย่อมเป็นไปได้ยาก ความรู้ของคนเราเป็นไปตามความเข้าใจของตนเอง เพราะเรารู้จริง รู้ไม่จริงนั่นแหละ เราจึงได้ทำกรรมไปตามที่เราเข้าใจว่ามันถูกต้อง แต่เมื่อทำลงไปแล้ว ย่อมได้รับผลของกรรม เมื่อได้รับผลของกรรมแล้ว ก็ต้องเวียนว่ายตายเกิด ไม่รู้จักจบสิ้น จนกว่าพระพุทธเจ้านั้นบรรลุพระอรหันต์ ตัดกิเลสอาสวะตัดกงกรรมกงเกวียน ขาดสะบั้นไปทั้งหมด การเกิด การตายที่เรียกว่าสำเร็จพระนิพพาน เพราะอาศัยวิชชา ๓ นี้ เป็นหลัก สิ่งนี้บาป สิ่งนี้ทุกข์ แม้เรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง รับฟังเอาไว้ก่อน ในการตรัสรู้ของพระองค์ เราจะกล่าวกันอย่างตรงไปตรงมาว่า ขั้นตอนของพระพุทธเจ้านี้ ทุกคำพูดที่พระองค์นำมาสอนเรามันเป็นโลกส่วนตัวของพระองค์โดยแท้ เช่น อย่างพระองค์สอนว่าสิ่งนี้มันเป็นบาปนะ อย่าทำ ทำแล้วมันจะตกนรก นั่นแสดงว่าพระองค์เคยทำบาปอย่างนั้นตกนรกมาแล้ว น้ำในนรกมันเย็นหรือมันร้อน มันเป็นน้ำท่าธรรมดาหรือน้ำทองแดง พระองค์เคยไปแหวกว่ายมาก่อนเราแล้ว แล้วก็นำสิ่งนั้นมาสอนเรา สิ่งใดที่พระองค์สอนว่า สิ่งนี้มันเป็นบุญ ทำแล้วขึ้นสวรรค์ พระองค์ก็เคยขึ้นสวรรค์ไปนั่งกินลม ชมวิว สบายมาแล้ว แล้วก็นำมาสอนเรา การบำเพ็ญตบะ บำเพ็ญณาน ใครสำเร็จสมาธิ สำเร็จฌานสมาบัติ ถ้าหากยังไม่สำเร็จพระนิพพาน ตายแล้วไปเกิดเป็นพระพรหมโลก พระองค์ก็เคยบำเพ็ญฌานไปเกิดในพรหมโลกมาแล้ว ชาติสุดท้ายของพระองค์ที่เกิดมาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ แล้วก็ได้เสด็จออกทรงผนวชบำเพ็ญภาวนาเป็นสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า อาศัยหลักศีล สมาธิ ปัญญา เป็นหลักปฏิบัติ แล้วพระองค์ก็ได้สำเร็จเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เมื่อพระองค์สำเร็จแล้ว พระองค์ก็ได้นำเอาสิ่งที่พระองค์บรรลุนั่นแหละ มาสอนเรา เพราะฉะนั้น สิ่งใดที่พระองค์สอนว่า สิ่งนี้บาป สิ่งนี้ทุกข์ แม้เรายังไม่รู้แจ้งเห็นจริง รับฟังเข้าไว้ก่อน คือรับฟังแล้วก็อดใจเอาไว้อย่าไปฝ่าฝืน แล้วเราพยายามปฏิบัติพิสูจน์ พิจารณาให้มันรู้แจ้งเห็นจริงว่า สิ่งนี้มันเป็นจริงตามที่พระองค์สอนหรือไม่ เพราะปัจจัยเหตุที่พระองค์ได้ตรัสรู้วิชชา ๓ มานั่นแหละ ศีล ๕ ข้อนี้ ไม่ใช่พระพุทธเจ้าบัญญัติ แต่เป็นคุณธรรมประจำโลก ที่เรียกว่า มนุษยธรรมนั้น เพราะเป็นคุณธรรมปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ฝ่ายโสมม อย่างเราภูมิจิตภูมิใจว่า เราเกิดมาเป็นมนุษย์เป็นผู้มีใจสูงก็ไม่แน่นักหลอกว่า จะเป็นมนุษย์สมบูรณ์แบบทุกลมหายใจอยู่นั่น
|