Saturday, 08 July 2017 03:57 |
เด็กคริสต์ติดใจแนวพุทธ ที่จริงหนูนับถือศาสนาคริสต์มาตั้งแต่เกิด ค่ายนี้เป็นค่ายพุทธค่ายแรกที่หนูมาอบรม หนูพอจะพูดท่องมนต์พุทธได้แต่ก็ไม่รู้ความหมายเพราะที่ท่องก็เพราะตามคนพุทธและหนูไม่เคยนั่งสมาธินานๆ ขนาดนี้ เมื่อก่อนหนูไม่เชื่อศาสนาอื่นศาสนาใดนอกจากศาสนาคริสต์ เลยคิดด้วยซ้ำว่าพุทธมีแต่ท่องมนต์น่าเบื่อ แต่พอได้ท่องจิตเหมือนมันเพลิดเพลินมาก แล้วตอนนั่งสมาธิที่ลานธรรมบนอากาศเย็นสบายรู้สึกชอบมากๆ นั่งยกแรกไม่หลับเลยกลับนั่งแล้วจิตสบาย ไม่ปวดหลัง ไม่ปวดขา แต่จะรู้สึกโยกๆ เหมือนนั่งรถไฟเหาะ รู้สึกเหมือนตีลังกาม้วนได้หลายตลบ
หนูมาออกค่ายเกี่ยวกับศาสนาพุทธค่ายแรกแต่ทำไมรู้สึกชอบ ทำไมปฏิบัติตามก็รู้สึกชอบขึ้นมา เวลาผ่านไปไม่อยากกลับบ้านเลย รู้สึกอยากอยู่ต่อ พอทำสมาธิลืมตามาตาสว่างจ้าเลยแบบอเมสซิ่งสบายกายสบายใจมากๆ นั่งสมาธิจับเวลาได้ 1 ชั่วโมง 17 นาที แต่คือรวมๆ ชอบมาก การที่มาที่นี่ทำให้หนูได้สำนึกสิ่งต่างๆ โดยเฉพาะเรื่องพ่อแม่ ฝากบอกถึงทุกๆ คนให้นึกถึงพ่อแม่ให้มากๆ เมื่อหนูสำนึกทีไรน้ำตาไหลทุกที ถือว่าการมาวัดวะภูแก้วไม่ผิดหวังเลย กลับเปลี่ยนความคิดแล้วชอบการมาวัดจริงๆ ทำให้หนูได้ความรู้ต่างๆ เพิ่มเติม ถือว่าศาสนาพุทธดีสมคำพูดคำเล่าลือ และทำให้หนูมีสติมากขึ้นด้วย
บัณฑิตา วาปีทา ม.4/2 โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
โชคดีที่ได้เกิดเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้านั้นเป็นเด็กที่สมองช้า เรียนไม่รู้เรื่อง เพราะข้าพเจ้าน่าจะเป็นโรคหูตึง จึงไม่ค่อยได้ยินอะไรชัดเจน ถูกเพื่อนล้อบ้าง บางคำพูดทำให้ข้าพเจ้าอยากจะร้องไห้แต่ก็ร้องไม่ได้ บางครั้งก็เคยคิดจะฆ่าตัวตายด้วยซ้ำเพราะแค่คำพูดที่ส่อเสียดจิตใจ แต่เมื่อข้าพเจ้าได้มาสถานที่ปฏิบัติธรรมแห่งหนึ่ง คือวัดวะภูแก้วนี้ ข้าพเจ้าก็ได้รู้ว่า แม้ข้าพเจ้าจะไม่เหมือนใคร แต่ข้าพเจ้ามีสิ่งหนึ่งที่เหมือนคือ การเป็นมนุษย์ ข้าพเจ้าก็มีร่างกาย ข้าพเจ้าก็มีจิตใจ ไม่คิดว่าการเป็นมนุษย์จะโชคดีขนาดนี้ ข้าพเจ้า คิดว่าคนทั้งโลกนั้นคงเกลียดตัวข้าพเจ้ามาก แต่มี 2 คนที่ยังรักเราคือ พ่อกับแม่ ขอบคุณที่ข้าพเจ้าได้เป็นมนุษย์ ขอบคุณพ่อแม่ที่เลี้ยงเรามา และขอบคุณค่ายคุณธรรมดีๆ แบบนี้ที่ทำให้ข้าพเจ้าตาสว่าง ไม่มองโลกในแง่ร้าย
มีนาวิน อุปถัมภ์ ม.4/1 โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
ให้มาอีกก็จะมา
ผมเป็นคนที่ไม่ชอบนั่งสมาธิเพราะนั่งแล้วค่อนข้างที่จะเจ็บเข่า และผมมีทัศนคติที่ไม่ดีกับพระสงฆ์ เพราะเห็นชื่อไม่ดีของพระสงฆ์ในข่าวบ่อยครั้งจนอยากเปลี่ยนศาสนาเป็นศาสนาคริสต์
โดยปกติผมไม่สวดมนต์ ไม่นั่งสมาธิแต่มาที่นี่ผมต้องทำ และทำได้ค่อนข้างดี ผมไม่เคยคิดว่าจะได้เป็นแชมป์การนั่งสมาธิ เพราะมันนั่งลำบากมาก ซึ่งทั้งเจ็บขาแล้วยังต้องมาท่องพุทโธในใจอีก ให้ไปตะโกนไม่ดีกว่าหรือ แต่พอลองนั่งตั้งสมาธิแล้วสวดมนต์ แผ่เมตตาในใจตนเองรู้สึกสบายอย่างบอกไม่ถูก นั่ง 15 นาทีแรกๆ มีความรู้สึกว่าร่างกายค่อนข้างที่จะหนักและสติหลุดค่อนข้างบ่อย จนต้องเริ่มแผ่เมตตา เมื่อแผ่เมตตาเสร็จ ภาพแรกที่เข้าในหัวคือ ภาพตอนที่ไปจับลูกนกมาทุกจนตาย และก็ภาพที่ผมจับปลามาแล้วใช้ค้อนทุบหัวตอนไปเล่นน้ำกับรุ่นพี่ ผมจึงเริ่มแผ่เมตตาอีกครั้งเพราะคิดว่าพวกเขาเหล่านั้นอาจจะมาจองเวร หลังจากผมแผ่เสร็จจึงค่อยลืมตาขึ้นก็ปรากฏว่าเหลือคนแค่ไม่กี่คนที่นั่งอยู่
ถ้าถามว่าเมื่อมีคนชวนมาปฏิบัติธรรมที่วัดวะภูแก้ว จะมาอีกไหม ผมจะตอบอย่างเต็มปากเต็มคำว่าจะมาอีก เพราะมาแล้วได้ทั้งความรู้ ได้ธรรมะ ได้บุญ ได้รู้ว่าตายแล้วไปไหนได้รู้ว่าตายแล้วหากทำบาปมากจะเป็นอะไร แต่ที่ชอบมากที่สุดคือ สอนให้มีความกตัญญู
พีรภัทร วิสาสะ ม.4/3 โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
สำนึกบาป
ข้าพเจ้าเคยเป็นเด็กที่เอาแต่ใจมาก่อน ตั้งแต่ที่จำความได้ข้าพเจ้าก็เห็นแต่พ่อกับแม่ทำงานไม่ค่อยได้หยุดพัก เพราะสมัยนั้นค่าแรงขั้นต่ำแค่วันละ 80 บาท แต่พ่อกับแม่ก็ต้องทำงาน เพราะต้องเอาเงินที่ได้มาเลี้ยงดูข้าพเจ้ากับพี่ ได้มาซื้ออาหารเพื่อเอาไว้ประทังชีวิต และมาซื้อนมให้กับข้าพเจ้า แม่กับพ่อต้องทำแบบนี้ทุกวัน เพราะถ้าไม่ทำวันใดวันหนึ่ง วันนั้นพวกเราก็จะไม่มีข้าวกิน
มีอยู่วันหนึ่งเหตุการณ์ครั้งนั้นเป็นบาปครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ทำและบาปครั้งนั้นก็คงจะติดตัวข้าพเจ้าไปจนวันตาย เรื่องเริ่มจากทีแม่ไม่มีเงินให้ข้าพเจ้าและพี่ไปโรงเรียน เพราะตอนนั้นแม่มีเงินติดตัวอยู่แค่ 5 บาท จงแบ่งให้ข้าพเจ้า 3 บาท พี่ 2 บาท แต่ข้าพเจ้ากลับโยนเงินนั้นทิ้ง แม่ข้าพเจ้าจึงถามว่า “โยนเงินนั้นทิ้งทำไมลูก” ข้าพเจ้าตอบไปว่า “เงินแค่นี้จะพอยาไส้อะไร” พอข้าพเจ้าพูดจบ แม่ก็น้ำตาไหลทันที และพูดขึ้นว่า “แม่มีเงินให้ลูกแค่นี้แหละลูก เพราะวันนี้ไม่มีคนจ้างไปทำงานเลย” พอแม่พูดจบข้าพเจ้าก็เดินโดยกระทืบเท้าใส่แม่แล้วก็ไปโรงเรียนเลย
พอขึ้นม.4 ทางโรงเรียนก็ประกาศว่าจะพามาเข้าค่ายที่วัดวะภูแก้ว ข้าพเจ้าไม่อยากมาเลย แต่พอนึกดูดีๆ ถ้ามาก็จะได้มาทำบุญให้แม่ด้วย ข้าพเจ้าก็เลยตัดสินใจมาโดยไม่ต้องคิด พอมาถึงเห็นวัดแล้วข้าพเจ้าก็รู้สึกชอบ สบายใจ ได้มาเห็นที่ต่างๆ โดยเฉพาะลานธรรมที่มีแสงพระอาทิตย์ตกอย่างสวยงาม และที่ทำให้จิตของข้าพเจ้าสงบมากที่สุด และได้ส่งบุญไปให้พ่อกับแม่ ปู่ย่าตายาย นั้นก็คือการทำสมาธิ ภาวนาจิตที่วัดวะภูแก้วพาทำ ก็ทำให้ข้าพเจ้าสบายใจมากขึ้น รู้สึกถึงความอิ่มบุญ และรู้สึกว่าการด่า การเถียงพ่อแม่นั้นเป็นบาป และบอกวิธีแก้ก็คือควรนั่งสมาธิให้ท่านและภาวนาจิตส่งบุญไปให้ท่าน สุดท้ายนี้ หนูก็ขอขอบพระคุณ วัดวะภูแก้ว และสอนให้รู้บุญคุณพ่อแม่ และควรเลี้ยงท่านก่อนที่มันจะสายเกินไป
พิมพ์รพัฒน์ พิมพ์สงเคราะห์ ม.4/1 โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
เปลี่ยนแนวจัดงานวันเกิดดีกว่า
ตอนแรกผมรู้สึกไม่อยากมาเพราะการเข้าค่ายช่วง 16-20 มิถุนายน มันมีวันตรงกับวันเกิดผมคือวันที่ 18 มิถุนายน ผมเลยรู้สึกว่าผมไม่อยากมาเพราะจะไม่ได้ฉลองวันเกิดของผม แต่ก็ต้องมาเพราะมันเป็นหน้าที่ พอผมได้ฟังบรรยายเกี่ยวกับเรื่องจัดงานวันเกิดผมก็เลยได้เข้าใจว่าเราไม่ควรจัดงานวันเกิด สังสรรค์เพราะมันเป็นวันเจ็บที่สุดของแม่ ผมเลยตั้งใจนั่งสมาธิให้กับแม่และต่อไปนี้ผมจะไม่จัดงานสังสรรค์วันเกิดของผมอีกแล้ว ผมจะชวนแม่ไปทำบุญครับผม
กรพจน์ พิมพ์หนองแผน ม.4/6 โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
ถ้าไม่ได้มาที่นี่คงเกลียดพ่อตลอดชีวิต 3 ปีที่ผ่านมา พ่อแม่แยกทางกัน ตอนแรกฉันอยู่กับพ่อ พอมา 2 ปีหลังฉันอยู่กับแม่ ปัจจุบันฉันอยู่กับแม่ น้องสาวและพ่อเลี้ยง ฉันรู้สึกเกลียดพ่อ ด่าพ่อว่าฉันไม่มีพ่อ พ่อฉันตายไปนานแล้ว ไม่เคยคิดที่จะพูดกับพ่อเลยสักครั้ง ตั้งแต่พ่อมีเมียใหม่ พอมา วัดวะภูแก้วก็รู้สึกสำนึกมากและรู้สึกผิดมากที่ทำอย่างนั้นกับพ่อ อยากจะกลับไปกราบเท้าพ่อมากแต่ติดอยู่ที่ว่าเมียพ่อไม่ไห้พ่อมาพูด้วย คุยกันพบหน้าสักครั้งก็ไม่ได้ บางครั้งก็จะมีคนบอกดิฉันว่านิดถึงเขาจะเป็นอะไรยังไงเขาก็เป็นพ่อของมึงอยู่ดี ฉันก็จะตอบกลับว่าพ่อของฉันตายไปนานแล้ว ฉันไม่มีพ่อ พ่อฉันไม่ได้เป็นคนอย่างนี้ พ่อฉันคนเดิมไม่เคยทิ้งลูกแบนี้ พ่อของฉันคนเดิมเป็นคนพูดเพราะ รักลูก ลูกอยากได้อะไรก็จะหามาให้ เวลาไปทำงานก็ต้องบอกลูก ว่าพ่อไปทำงานก่อนนะดูแลน้องด้วย ตอนเย็นเดี๋ยวพ่อกลับมา ทำงานบ้านรอพ่อยู่ที่บ้านนะข้าวพ่อหุงไว้ให้แล้ว พ่อฉันเป็นคนนิสัยดีไม่ได้เป็นคนแบบนี้ พอฉันมาที่วัดก็รู้สึกสำนึกสิ่งที่ทำมาก พอตอนนั่งสมาธิ ก็ยิ่งสำนึกเข้าไปใหญ่ตอนนี้ดิฉันอยากกลับบ้านไปกราบพ่อมาก ถ้าฉันไม่มาที่นี่ฉันก็ไม่รู้สำนึกอะไรหรอกคงจะเกลียดพ่อมากกว่านี้ แต่ตอนนี้สำนึกแล้ว สำนึกมากด้วย การมาวัดวะภูแก้วเป็นสิ่งที่ดีมาก ขอขอบคุณคณะครูที่พามาที่วัดวะภูแก้ว
นารีรัตน์ พรบุญ โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
คนที่รักเราที่สุดก็พ่อแม่ ไม่ใช่เพื่อน
เมื่อก่อนข้าพเจ้าเป็นเด็กดีของพ่อแม่มาโดยตลอด พอเริ่มโตเป็นสาวข้าพเจ้าก็เปลี่ยนไป เริ่มติดเพื่อนไม่สนใจพ่อแม่ ไม่ค่อยอยู่บ้าน วันๆก็มีแต่ไปเที่ยวกับเพื่อนไม่ทำงานบ้าน พอพ่อแม่ดุก็ไม่พอใจไม่ยอมกินข้าว แถมยังตะคอกใส่ท่านอีก วันหนึ่งข้าพเจ้าไปเที่ยวกับเพื่อนตอนนั้นข้าพเจ้าอายุ 14 ปี อยู่ชั้น ม.2 ด้วยความคึกคะนองจึงได้ประสบอุบัติเหตุรถล้ม พอกลับมาบ้านข้าพเจ้าก็โดนพ่อแม่ด่า ตอนนั้นข้าพเจ้าโกรธท่านมาก แทนที่ท่านจะห่วงแต่กลับมาด่า ตอนนั้นข้าพเจ้าไม่รู้หรอกว่าท่านด่าเพราะท่านห่วง ข้าพเจ้าได้แต่คิดน้อยใจว่าพ่อแม่ไม่รักข้าพเจ้า นานวันไปแผลเริ่มหายดี ข้าพเจ้าไม่เข็ดไปเที่ยวบ้านเพื่อนต่อ ไว้ในเพื่อนมาก เวลาที่พ่อแม่ด่าข้าพเจ้าและว่าข้าพเจ้าคบเพื่อนไม่ดี ข้าพเจ้าจะโกรธมากเพราะข้าพเจ้าคิดว่าเพื่อนจริงใจกับข้าพเจ้าที่สุดแล้ว วันหนึ่งข้าพเจ้าไปเที่ยวกับเพื่อนโดยโกหกแม่ว่าจะไปทำรายงาน ข้าพเจ้าก็ไปประสบอุบัติเหตุรถล้มครั้งที่ 2 คราวนี้เจ็บหนักกว่าครั้งก่อน กลับมาถึงบ้านโดนดุอีก ข้าพเจ้าเกลียดพ่อแม่มากตอนนั้น พอได้มาอบรมคุณธรรมที่วัดวะภูแก้ว ได้ทำกิจกรรมกตัญญูของวันสุดท้ายในการเข้าค่าย วิทยากรให้นั่งสมาธิ และเปิดธรรมะให้ฟังเกี่ยวกับเรื่องบุญคุณของบิดา-มารดา ข้าพเจ้าสำนึกผิดที่แต่ก่อนเคยเกลียดเคยด่าท่าน และข้าพเจ้าก็ได้รู้แล้วว่า คนที่รักเรามากที่สุด ห่วงเรามากที่สุดไม่ใช่เพื่อนที่คอยจะชวนแต่เราให้หลงผิด แต่กลับเป็นพ่อและแม่ที่รักเรามากที่สุด
กัญญารัตน์ ตลับไธสง ม.4/1 โรงเรียนห้วยแถลงพิทยาคม
|
Last Updated on Saturday, 08 July 2017 04:19 |