Home เรื่องเล่าตอนเข้าค่าย พระธรรมเทศนาเนื่องในงานวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย (2)
พระธรรมเทศนาเนื่องในงานวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย (2)
Monday, 15 November 2010 05:46

พระธรรมเทศนาเนื่องในงานวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย (2)
แสดงธรรมโดย
หลวงปู่คำพอง ติสโส
วัดถ้ำกกดู่  จ.อุดรธานี
แสดงธรรม ณ วัดป่าสาลวัน
ต.ในเมือง  อ.เมือง  จ.นครราชสีมา
เมื่อวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๔๔

          เจริญสุข สวัสดี  วันนี้ ที่พวกเราเหล่านักปราชญ์และนักค้าขายมาฟังนโยบายแห่งพระพุทธศาสนาที่แนะนำสั่งสอน  เพราะทุกคนมีความทุกข์ มีความเร่าร้อน  มีความประพฤติผิดคิดไม่ชอบ  ประกอบในการที่เกิดบาปการกระทำนำให้มนุษย์ของเราลำบากยากเย็น  เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนา หลวงพ่อพุธ หรือ หลวงปู่พุธ ที่ได้ชักชวนให้ญาติพี่น้องทั้งหลายได้เจริญศีล สมาธิ ปัญญา ผูกวาสนาบารมี  สร้างกุศลผลบุญคุณความดีเอาไว้เพื่อป้องกันความทุกข์ยากลำบากเข็ญใจ  ป้องกันโรคภัยไข้เจ็บเกิดแก่เจ็บตาย  ที่ทำลายมนุษย์และทำลายทรัพย์ชื่อเสียง เกียรติยศของเราให้ดับลงได้  เคยเป็นมนุษย์ ผลที่สุดแล้วอาจจะเป็นสัตว์เดรัจฉาน  ท่านเหล่านั้นอาจจะเป็นเปรต อสุรกายไปก็ได้เพราะความไม่รู้  ความไม่เข้าใจ  หลวงปู่พุธจึงได้มาตั้งอยู่ในสถานที่นี้เพื่อสร้างความเมตตาปราณี เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้พวกเราเหล่าท่านทั้งหลาย  ผู้เคยร้องไห้หัวเราะ  ที่เคยอดอยากปากแห้ง  เคยคิดผิดวิปริตจากทำนองคลองธรรม  เมื่อยังไม่พบหลวงพ่อพุธ  หรือพบศาสนาพระองค์ใดที่สั่งสอนอบรมพวกเราให้เกิดกุศลผลบุญคุณความดีนั้น  เมื่อก่อนเราคิด  เราก็คิดเรื่องที่ยังไม่มีผลไม่มีประโยชน์  คิดไปแล้ว  ไม่ละโกรธ  ไม่ละโลภ  ไม่ละหลง  ความคิดนั่นไม่มีค่า  ต่อเมื่อเราได้สดับตรับฟังยังประโยชน์ให้เกิดขึ้นแล้ว   เราทั้งหลายเคยนั่งง่วงเหงาหาวนอน  จิตใจเหี้ยมเกรียมอำมหิต  คิดชั่วช้าลามกไม่กลัวบาปไม่กลัวกรรม  หิริความละอายต่อบาป  โอตตัปปะ ความเกรงกลัวต่อบาป  ตกลงผู้ทำบาปหน้าตาเฉย  ผลที่สุดผลเสวยก็คือความทุกข์ร้อน  ความเผ็ดร้อน  ความฉิบหายวายวอด   คนที่กลัวบาป เห็นบาป  รู้จักบาป  นั่งลงบำเพ็ญบุญ  ลุกขึ้นบำเพ็ญบุญ  หายใจออกบำเพ็ญบุญ  หายใจเข้าบำเพ็ญบุญ  ไม่ปล่อยให้ศีลนั้นเป็นบุคคลที่ปล่อยปละละเลย  เชื่อมั่นในจิตใจว่าทุกสิ่งทุกประการ ลูก หลาน เหลน ลื้อ พี่น้อง  อาหารการบริโภค  สารพัดที่มีอยู่ในโลก  ดินฟ้าอากาศแดดลม  อาหารการบริโภค  ผ้านุ่งห่ม  แก้วแหวนแสนศักดิ์  เหล่านี้ถือว่าไม่ได้มีประโยชน์มากมายเท่าไรนัก  ส่วนบุญ ส่วนกุศล ส่วนศีลธรรมนั้นสามารถจะทำมนุษย์ธรรมดาให้เป็นพระโสดา ปัตติมรรค  โสดา ปัตติผล  อนาคามิมรรค  อนาคามิผล  จนตลอดถึงสำเร็จเป็นพระอรหันต์ก็เพราะบุคคลผู้นั้น เห็นว่าบาปนี้ไม่เป็นมิตร เป็นเพื่อน เป็นสหาย  บาป  ไม่มีเมตตาปราณี  บาปไม่มีความจงรักภักดีจากสัตว์ทั้งหลาย  ไปอยู่กับมนุษย์ก็ฆ่ามนุษย์  ไปอยู่กับพระกับเจ้าทุกค่ำทุกเช้าเกิดความประมาทอาจจะปิดหูปิดตา  มรรคผลนิพพานไม่ให้บรรลุ เห็นแจ้งแทงสว่างในศีลธรรมสังขารร่างกายตาย เกิด แก่มีอยู่ทุกลมหายใจ  ไม่มีใครผิด ไม่มีใครหวงห้าม  แต่มนุษย์ของเราก็ยังไม่สามารถที่จะมาละเกิด ละแก่  ละเจ็บ ละตายเอามาสร้างสวรรค์ สร้างนิพพานให้เกิดผลประโยชน์ได้  ก็แสดงว่ามนุษย์ของเรายังหาธรรมไม่เห็น  หาลูก หาหลาน  หาท่าน หาเธอ  หาอยู่ หากิน  ค่ำคืนยืนนอน เราหาได้  แต่ว่าหาสวรรค์หานิพพาน   หานโยบายที่ชอบธรรม  มาละโกรธ  ละโลภ  ละหลง  นี่เราไม่ค่อยหา  เมื่อเราไม่หา  เราก็ไม่ได้ประโยชน์  เพราะฉะนั้นหลวงปู่พุธจึงได้สร้างศาลาสร้างวัดป่าสาลวันเป็นวัตถุให้พวกเราได้นั่งสบาย  นอนสบาย  ถ้าเรานั่ง ไม่สบายก็ถือเป็นเพื่อนเป็นทุกข์  ว่านั่งแล้วไม่สะดวกก็ปล่อยศีลธรรม  เราลุกขึ้นไม่สบายก็ปล่อยเกิด  ปล่อยแก่  ปล่อยเจ็บ  ปล่อยตาย  ไม่สร้างความรู้  ความสามารถ ความฉลาด  ให้รู้ให้เห็นค่า  เพราะฉะนั้นเราจะอยู่ที่ไหน  จะพูดก็อย่าให้ศีลมันเสีย  จะนอนก็อย่าให้ศีลมันเสีย  จะหายใจออกก็อย่าให้ศีลมันเสีย  จะหายใจเข้าก็อย่าให้ศีลมันเสีย  เราดูเนื้อดูหนังก็อย่าดูให้ศีลของเราเศร้าหมอง    เราจะรับประทานอาหาร  อาหารอะไรก็ตาม  แต่อย่าทำให้ศีลของเรานั้นเศร้าหมอง  เรารับประทานอาหารเพื่อศีลของเราให้เจริญ  เรารับประทานอาหารเพื่อสมาธิของเราให้มั่นคง  เราสร้างเจตนาของเราให้เป็นตัวศีล  รักษาสร้างเจตนาของเราให้เป็นตัวธรรม  เมื่อเราเป็นตัวธรรม  เราจะดูคนอื่น  ดูเขา  ดูเรา  ดูเฒ่า  ดูแก่  ดูมนุษย์  มนา  ดูป่า  ดูเขา ก็ถือว่าเป็นธรรมะ  เพราะทุกสิ่งทุกอย่างแสดงออกบอกถึงอนิจจัง  ทุกขัง  อนัตตา  ไม่มีตัวตนบุคคลเราเขา  จะให้มนุษย์ของเรารับพิจารณาด้วยสติและปัญญาอันชอบธรรม  เมื่อรับพิจารณาโดยถูกต้องแล้ว  กิเลสที่เคยหวงแหน เคยยึดมั่นถือมั่น  อุปาทาน  เคยปิดบังความไม่รู้  อวิชชา ปัจจยา  สังขารา  ไปสร้างสังขารโดยความไม่รู้  สร้างสังขารขึ้นมาโดยความยึดมั่นถือมั่น  สร้างสังขารขึ้นมาด้วยความรักความปรารถนา   สร้างสังขารขึ้นมาเข้าใจว่าสังขารนั้นเป็นตนตัว  สร้างความเห็นผิดมิจฉาทิฏฐิให้เกิดขึ้นเผาผลาญ  เป็นหอกเป็นดาบเป็นยาพิษสำหรับฟาดฟันบุคคลผู้กล้า  ทำให้คนผู้กล้านี้ตกอยู่ในสภาพแห่งความเร่าร้อน  เพราะฉะนั้นพระพุทธศาสนานั้นจึงได้สอนให้เราว่า  เจตนาหัง  สีลัง  วทามิ  เมื่อเราเจตนา เรานั่งลงเพื่อรักษาศีล  เราก็จะได้ศีล  เราลุกขึ้นเพื่อปฏิบัติศีล  เราก็จะได้ศีล  เราลืมตาขึ้นเพื่อให้ศีลของเราใสสว่าง  ไม่ให้ศีลของเราเศร้าหมอง  เราก็จะได้แสงสว่างจากศีล  เรามีศีลยังมีความเมตตาตน  ไม่ให้มนุษย์ของเราได้ตกไปสู่อำนาจแห่งกิเลสตัณหาอวิชชา  ให้กิเลสของเรานั้นเอาไปเป็นทาส  บอกให้นั่งก็นั่ง  บอกให้ยืนก็ยืน  บอกให้กินก็กิน  บอกให้ร้องก็ร้อง  บอกให้หัวเราะก็หัวเราะ  บอกให้เต้นร้องเต้นรำก็เต้น  อันนั้นพวกกิเลส  พระอริยเจ้า  พระโสดา สกิทาคา  อนาคา  ไม่ได้ไปฟ้อนรำทำเพลงและดื่มเหล้าเมายา  ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต  ก็ถือว่าเมตตาตนเพราะอำนาจแห่งศีลนั้น   ไม่ได้ไปใช้กรรมใช้เวร   ไม่ได้ไปผู้รับเคราะห์รับกรรม  ไม่ได้มีผู้ผูกเวร  ก็ถือว่าหมดเวร  หมดกรรม  เมื่อหมดกรรมแล้ว  กัมมะโยนิ  กัมมะพันธุ  กัมมะปะฏิสะระณา  ยัง  กัมมัง  กะริสสันติ  กัลละยาณัง  วา  ปาปะกัง  วา  ไม่มีบาปตัวไหนที่จะมาสร้างสังขารร่างกายของเราให้ประกอบไปด้วยโรคภัยไข้เจ็บ  ไม่มีกรรมเวรไหน  ที่จะทำให้เราพรากศีล  พรากธรรม  ไม่ได้มีกรรมไหนที่จะสร้างให้เราพรากสวรรค์  พรากนิพพาน  มีตั้งแต่กรรมที่ดีที่เราสร้างเมตตาเรา  เราสร้างเราเป็นความรักเรา  เราสร้างเราเป็นตนตัวของเรา  เราสร้างเราเป็นความสุขความเจริญของพวกเรา  เหล่านี้เป็นต้น  ถ้าเป็นอย่างนี้แล้ว คนในประเทศไทย คนในโลก ดินฟ้าอากาศ เทวดา ฟ้าดิน  พระราชามหากษัตริย์  พี่น้อง  ปู่ย่าตายาย  เด็กผู้ใหญ่  ไม่มีใครสร้างศีล  ไม่มีใครสร้างธรรม  นอกจากเราเองที่จะสร้าง  เรามีความสามารถสร้างได้มากเท่าไร  ก็จะเป็นทุนเป็นกำไร  ตกลงเป็น สีเลนะ  สุคะติง ยันติ  มีความสุข  ไม่ใช่สุขด้วยทรัพย์ ด้วยสมบัติ  ไม่ใช่สุขด้วยเนื้อด้วยหนัง  เราสุขด้วยศีลธรรม  เมื่อมีศีลธรรมเป็นความสุข  ก็ถือว่าเราไม่อดอยู่อดกิน  ไม่เหนื่อยไม่หิว  ไม่ทุรนทุรายก็ถือว่า  เกษตรพอเพียง  คือทำให้เรานี้มีความสดใส  อาศัยศีลเป็นทุ่งไร่ทุ่งนา  อาศัยศีลเป็นอาหารการบริโภค   อาศัยศีลเป็นผู้ป้องกันบาปการกระทำ  เรานั่งอยู่ตรงไหน ก็ปลอดภัย  ไม่มีบาปเกิดขึ้นในกาย  วาจา จิต  ความประพฤติผิดไม่มี  ได้ชื่อว่ามีสติสัมปชัญญะ  สร้างตั้งแต่ความถูก   ความผิดไม่สร้าง  หายใจออกจิตเราก็ไม่สร้าง  นั่งลงจิตเราก็ไม่สร้าง  รับประทานอาหารจิตเราก็ไม่สร้าง  นุ่งห่มจิตเราก็ไม่สร้าง  อาบน้ำจิตเราก็ไม่สร้าง  นอนผิดเราก็ไม่นอน  เรานอนกับแต่สิ่งที่มีประโยชน์  คือนอนให้มันถูก  ไม่นอนให้มันผิด  เราจะนึกจะคิด  คิดแล้วเกิดความสว่างไสว เห็นทุกข์  เห็นสมุทัย  เห็นบุญ  เห็นกุศล  พระพุทธเจ้าได้ยินตั้งแต่เรากราบเราไหว้อะระหัง  สัมมา  สัมพุทโธ  แต่เมื่อจิตใจของเราสว่างแล้ว  จิตใจของเราผ่องใสแล้ว  สามารถจะเห็นพระพุทธเจ้า ว่าพระพุทธเจ้ามีจริงหรือเปล่า  ศีลธรรมมีจริงหรือเปล่า  ศีลธรรมนั้นเกิดขึ้นแล้วพาเราไปสู่สุคติ  ก็ถือว่า  สีเลนะ  สุคะติง  ยันติ  อายุมนุษย์ของเรา  อาหารมนุษย์ของเรา   ลมหายใจเข้าออกก็ขอบอกว่าไม่แน่นอน   หายออกวันไหน  ไม่หายออกวันไหน  วันนั้นวันลำบากยากเย็น  แต่เราไปสู่ภพหน้าคือสวรรค์  ไม่ได้หายใจ อาศัยบุญ  บุญเป็นผู้หล่อเลี้ยง  บุญเป็นผู้มีความสุขความเจริญ  

 

          เพราะฉะนั้นพวกเราทั้งหลายเมื่อมานั่งอยู่ในที่นี้  มาศึกษาธรรมะในที่นี้  เมื่อก่อนเราไปนั่งเฉย นอนเฉย  แต่พอเราได้ศึกษาธรรมะแล้วเกิดศรัทธา  ความเลื่อมใสในการเป็นอยู่ของสัจธรรม  เราหายใจออก  เราก็ได้  เราไม่เคยเชื่อว่าเราเคยกราบ  กราบพระพุทธรูปในหัวนอน  กราบพระพุทธรูปในวัดวาศาสนา  ขอโชคขอลาภขออำนาจวาสนาพระพุทธเจ้ารู้  พระพุทธเจ้าทรงไปคุ้มครองให้เราปราศจากภัยอันตราย  ไปอยู่ที่ไหนก็ขอให้อำนาจแห่งพุทธรูป ตามไปปกปักรักษาเราให้ร่มเย็นเป็นสุข  เมื่อก่อนเราเคยคิดอย่างนี้  มาเดี๋ยวนี้เราไม่ได้ขอพร  ขอโชค  ขอลาภจากพุทธรูป  เราขอพร ขอโชค ขอลาภ จากความเลื่อมใสของเราในหัวใจ  เพราะหัวใจเป็นตนเกิดศรัทธา  เกิดความสามารถ เกิดความเห็น  เกิดความผิด  เกิดความสุข  เราจะผิดก็หัวใจเป็นคนผิด  เราจะถูกก็หัวใจเป็นผู้ถูก  ไม่ใช่พระพุทธรูปวัดวาศาสนาเป็นคนถูกคนผิด  มันผิดอยู่ที่เรา  หายใจไม่ได้บุญก็เพราะเราเป็นผู้หาย  แต่เราไม่ต้องการ  แต่เพราะเราต้องการหายใจออกจะเป็นอนัตตา  ไม่ใช่หญิง  ไม่ใช่ชาย  ลมไม่มีหญิง  ไม่มีชาย  ลมไม่มีตนไม่มีตัว  ลมไม่ได้รัก ไม่ได้ปรารถนาจะอยู่กับเรา  ลมเป็นลมไม่มีความยินดียินร้าย  กับอยู่กับกินกับหลับกับนอน  เราสวดมนต์ไหว้พระลมนั้นก็สวดไม่เป็น     เรานั่งภาวนาลมนั้นก็นั่งไม่เป็น  เราทำบุญลมก็ไม่ได้ทำบุญ  น้ำก็ไม่ได้ทำบุญ  ไฟก็ไม่ได้ทำบุญ   ดินก็ไม่ได้ทำบุญ   เมื่อธาตุทั้ง 4 ไม่ได้ทำบุญแล้ว  ธาตุทั้ง 4 เขาก็ไม่ได้เป็นเทวดา  เขาไม่ได้เป็นพระอินทร์  พระพรหม  ไม่ได้เป็นพระโสดา  สกิทาคา  อนาคามี  อรหันต์  แต่หัวใจนี้มันเป็น พระโสดา  สกิทาคา  อนาคา  อรหันต์  ความไม่ยึดมั่นถือมั่น 

 


          สติจะเป็นเรื่องของหัวใจ  ไม่ใช่แขนขาเป็นสติ  ไม่ใช่อาหารการบริโภค เงินทอง เป็นสติ   เมื่อมันไม่เป็นสติก็ถือว่าเราไปทำพวกนั้นให้มากเกินไป  จนเราเฒ่า เราแก่   เมื่อเฒ่าแก่  ไม่แก้ไม่ไข  ไม่รู้ไม่เห็น  ศาสนาไม่ต้องการซะแล้ว   สิ่งเหล่านี้ก็ทำให้กาลเวลาของเราล่วงเลยไปโดยไม่มีเหตุมีผล  องค์พระสัมมาสัมโพธิญาณท่านก็รู้ว่าปฐมเทศนาของพระพุทธเจ้านั้น  ท่านเทศนาว่าอะไร  ท่านจึงกล่าวว่า  การที่เรานั่งเฝ้าร่างกายหามาเลี้ยงมาดู  มีเงินมีทองมีข้าวมีของ  ราคาถูก  ราคาแพง  ค่ำคืนยืนดึก  เราก็หาให้มีที่นอน  หาให้มันนอน  มีที่นั่ง หาให้มันนั่ง  มีกินหาให้มันกิน สารพัดอาบน้ำอาบท่าเสียวันหนึ่งไม่รู้เท่าไหร่  เสียค่าอาหารการกิน  เสียค่าไฟ  เสียค่าน้ำ  เสียเหนื่อย  เสียเวลา  เสียกำลัง  แต่ความเกิดแก่เจ็บตาย  ความเฒ่าความจากไปเขาไม่เอ็นดูเมตตาเรา  เรารักเขา  เขาก็ไม่เห็นใจเรา  ก็ถือว่า เราเห็นผิด  ไม่ใช่แม่น้ำลำคลองเห็นผิด  เราเห็นผิด  เมื่อเราเห็นผิด  เราแก้ความเห็นผิดด้วยสติปัญญาอันชอบธรรม  ก็ถือว่าเป็นสิ่งที่ลดละเหตุกิเลสตัณหาอวิชชาด้วยอำนาจแห่งคำสั่งสอนนี้   

 


          ธรรมะคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้านั้นมีรสชาติเหมือนกันกับน้ำทะเล  น้ำทะเลหรือเกลือ  กินอยู่เมืองโคราช  กินอยู่เมืองอุดร   จะกินอยู่พิษณุโลก  อเมริกา  มันก็ยังมีรสเค็ม  ศีลธรรมคำสั่งสอนนโยบาย  เราจะพิจารณาอย่างไรมันก็ยังเป็นธรรมอยู่  ก็ยังทำให้คน ๆ นั้นได้มีความสุข ธัมโม หเว  รักขติ  ธัมมจารี  พระธรรมย่อมคุ้มครองรักษาผู้ปฏิบัติธรรม   ไม่ทำให้คนผู้ปฏิบัติธรรมนั้นตกไปสู่สภาพแห่งความเสียหายและล่มจม  ผู้ที่จะสำเร็จมรรคผลนิพพานก็อาศัยพระธรรมทั้งนั้น     ท่านก็มีเกิดมีแก่มีกินมีหลับมีเดินมีร้องไห้หัวเราะเหมือนกันกับเรา   แต่เมื่อท่านได้ธรรมมาปฏิบัติ  ความทุกข์ความร้อน  การร้องไห้หัวเราะ  ร่างกายจะแตกจะดับจะเหี่ยวจะแห้ง  ท่านก็ไม่หวั่นไหว  เพราะท่านไม่ได้อาศัยร่างกาย  ไม่ได้อาศัยทรัพย์ภายนอก  อาศัยทรัพย์ภายในเป็นที่ตั้ง  พวกเราเหล่าท่านมาแสวงเห็นธรรมแล้ว  เข้าใจในธรรมแล้ว  พิจารณาดูแล้วว่าทุกสิ่งในโลกไม่มีอะไรที่จะช่วยเหลือเรา  อาหารการบริโภคกินลงไปแล้วก็หายไป  วันเวลามาแล้วก็ไม่มีอะไรที่จะอยู่กับเรา  ความจริงปีเดือนไม่ได้อยู่ในบังคับของเรา  แต่เราเองจะยังไปงมงายอยู่ว่า  วันนี้  ปีนี้ ของเรา   เราเกิดมาแล้วเท่านั้นปี  เกิดมานี้เท่านั้นเดือน  แต่ที่จริงปีเดือนที่เราเกิดมานั้นเอาใส่ย่ามใส่กระเป๋าไว้ไม่มีแตกออกเป็นผล  แต่ตนก็ยังเข้าใจว่าเจ้าของได้  ที่เข้าใจว่าเจ้าของได้นี่ล่ะมันเข้าใจผิด  เมื่อเข้าใจผิดก็เป็นมิจฉาทิฏฐิ  เขาจึงว่าตัว สัมมาทิฏฐิ  มิจฉาทิฏฐิ  สัมมาสังกัปปะ  มิจฉาสังกัปปะ  การเจรจาการนึกการคิดการปรุงการแต่ง  จนมองไม่เห็นว่าเราจะไปไหน   ไปไหนกันแน่  ถ้าจะอยู่กับลูกกับหลาน  ลูกหลานเขาก็ไม่มองเห็นเรา  อยู่กับบ้านกับช่อง  บ้านช่องเขาก็ไม่ได้รัก  ไม่ได้ปรารถนาเอาเรา  ตกลง ดินฟ้าอากาศ โกรธ โลภ หลง  ก็ไม่ใช่เพื่อนฝูง มิตรสหายของพวกเรา  แล้วเราจะไปอยู่กับใครล่ะ  นอกจากธรรมะ   ธรรมะนั้นอย่างที่ว่ามาแล้ว   คนเคยกราบผิด นึกผิด คิดผิด  ไปกินผิด นอนผิด  แต่เมื่อมีธรรมะแล้ว  ตามหลักการนอน  การอยู่ การกิน  การนึก การคิด  การพูดการจา  ก็มีแต่เกิดผลประโยชน์บริบูรณ์พูนสุขไปทั้งนั้น  ไม่มีอะไรขาดตกบกพร่อง  เพราะฉะนั้น เราไม่ต้องการความขาดตกบกพร่อง  เขาจึงตั้งเอาไว้ให้พวกเรามีความประพฤติให้ถูกให้ต้อง  ตั้งแต่อรหัง  นะโม  ที่กล่าวมาแล้ว  ผู้มีความนอบน้อม  น้อมเอาความตายมาพิจารณา  ข้าวกินลงไปทุกเม็ดมันตาย  ทัพพีตักข้าวก็ตาย  ช้อนก็ตาย  เล็บก็ตาย  ฟันก็ตาย  จานก็ตาย  น้ำก็ตาย  ลมก็ตาย  ไฟก็ตาย  เนื้อก็ตาย  หนังก็ตาย  กระดูกก็ตาย  ตกลงผลเป็นไม่มีในโลก  เมื่อมันตายหมดอย่างนี้แล้วเรามาเฝ้าเอาความตาย   แล้วเราจะไปร่ำรวยที่ไหน  อันนี้ส่วนหนึ่ง  ผู้พิจารณาอย่างนี้ก็ละกิเลสได้  คือไม่ต้องยึดมั่นถือมั่น ไม่เสียดายตายอยาก  บ้านจะพัง  ขาจะเหี่ยว  ตาจะบอด  หูจะตึง  แต่เราไม่มีความเสียใจเพราะไม่ใช่ตนตัวของเรา  เหล่านี้ก็ถือว่าละกิเลส


Last Updated on Monday, 15 November 2010 06:04
 

ค้นหา (พิมพ์คำที่ต้องการค้นหา แล้วกดปุ่ม Enter)

ร้านจักรวาลอ๊อกซิเย่น

Banner

น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

Banner

เข้า Facebook ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดวะภูแก้ว

Banner

แห่เทียนพรรษา 2558

Banner

ฐานิยปูชา 2556

Banner

www.thaniyo.net

Banner

ฐานิยปูชา 2555

Banner

เชิญชม วิดีโอ การแสดงธรรมของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

วัดป่าสาลวัน

Banner

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

palungdham.com

Banner

ฐานิยปูชา 2553

Banner

สำรวจความคิดเห็น

เหตุผล สำคัญที่สุด ในการเข้ารับการอบรมพัฒนาจิต ที่วัดวะภูแก้ว ?
 

แบบสำรวจความคิดเห็น

วัดวะภูแก้วควรปรับปรุงเรื่องใดมากที่สุด
 

แบบสำรวจ

พระสงฆ์ในทัศนะของท่าน ?
 

โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านได้ที่สมุดเยี่ยม

Banner