Wednesday, 21 November 2012 06:22 |
กาลครั้งหนึ่ง ณ วัดวะภูแก้ว ก่อนที่ข้าพเจ้าจะได้มาวัดวะภูแก้วนี้ เมื่อข้าพเจ้าทราบว่าจะได้มา ข้าพเจ้ารู้สึกดีใจและยินดีเป็นอย่างยิ่ง เพราะข้าพเจ้ารักการปฏิบัติธรรมมาตั้งแต่เด็ก ๆ เหตุเนื่องมาจากตอนเด็ก ๆ คุณยายมักพาไปปฏิบัติธรรมทุกวันพระที่ตรงกับวันหยุดทุกวันหยุด จึงทำให้ข้าพเจ้ารักการปฏิบัติธรรมตั้งแต่นั้นมา หนึ่งอาทิตย์ก่อนที่จะพาเข้ามาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ ณ วัดวะภูแก้วแห่งนี้ ข้าพเจ้าตื่นเต้นมาก ข้าพเจ้าเก็บกระเป๋า เตรียมตัวที่จะมาเลย เพราะข้าพเจ้าอยากมามาก
เมื่อข้าพเจ้านั่งรถมาถึงปากทางเข้าวัด ข้าพเจ้าชมทิวทัศน์ระหว่างทาง ข้าพเจ้ามีความสุขมาก ที่รู้ว่าวัดวะภูแก้วแห่งนี้ตั้งอยู่บนภูเขา ซึ่งรายล้อมด้วยธรรมชาติอันสวยงาม เมื่อถึงเวลาปฏิบัติธรรมจริง ๆข้าพเจ้ารู้สึกถึงความร่มเย็นไปมากกว่าเดิมอีก แต่ที่ข้าพเจ้าได้เริ่มนั่งสมาธิ ณ ลานธรรม ข้าพเจ้าได้แชมป์ ข้าพเจ้าจึงมีแรงบันดาลใจที่จะนั่งสมาธิต่อไปในยกถัดไป ในวันถัด ๆ มา ข้าพเจ้าได้รู้เกี่ยวกับเรื่องต่างๆ ที่เป็นประโยชน์ ที่คณะวิทยากรจัดมามอบให้กับพวกเราชาวค่าย ข้าพเจ้ามีสมาธิในการเดินจงกรม มีความสุข ความสบายกาย สบายใจ ในทุก ๆ วันที่ได้มาเข้าร่วมการปฏิบัติธรรม ณ วัดวะภูแก้วแห่งนี้
ข้าพเจ้าจะนำความสงบ ความมีสติ ทีได้จากค่ายนี้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน ไปใช้ในการเรียน ไปใช้ ในการทำงานต่าง ๆ ข้าพเจ้านำความสงบทางจิตใจ นำบุญ นำบารมีไปฝากครอบครัว และถ้ามีโอกาสข้าพเจ้าจะมาที่วัดวะภูแก้วอีกครับ
นายเทวา นรินทร์รัมย์ โรงเรียนบัวหลวงวิทยาคม เขียนไว้ ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2554
ความในใจของ นางสาวอทิตยา ปะโนรัมย์ ข้าพเจ้าเป็นบุคคลอีกคนหนึ่งที่ไม่อยากมาเข้าค่ายที่วัดแห่งนี้เลย เพราะมีความคิดว่ามาวัดแล้วจะทำอะไรให้ดีขึ้นกว่าเดิม เพราะทุกวันก็ว่าดีพอแล้ว แต่เมื่อใกล้ถึงวัดเข้าค่ายก่อนวันหนึ่งข้าพเจ้าได้ทะเลาะกับแม่ ซึ่งทะเลาะกันเรื่องไร้สาระมาก มันเป็นเพียงความประมาทของข้าพเจ้าไม่มีความระวัง แม่ก็เลยพูดเตือนแบบเสียงดัง และ ตัวของข้าพเจ้าคิดว่าแม่ด่าจึงพูดแบบประชดประชันใส่ท่าน แล้วข้าพเจ้าก็ออกไปโรงเรียนตามปกติ หลังจากกลับมาจากโรงเรียนตอนเข้าวันใหม่ของวันเดินทางข้าพเจ้า ก็ทำภารกิจตามปกติ แล้วเดินทางมาโรงเรียนเพื่อที่จะไปเข้าอบรม เมื่อวันแรกที่ข้าพเจ้าได้มาถึงวัดแล้วในความคิดของข้าพเจ้าคิดว่าวัดนี้เป็นวัดที่ศักดิ์สิทธิ์แน่นอนเลย เพราะความรู้สึกของข้าพเจ้าตอนนั้นขนลุกเลยเมื่อมาถึงวัด พอวันแรกผ่านไป วันที่สอง และวันที่สาม ความเมื่อยก็เริ่มจะหายไปเรื่อย ๆ และวันที่สี่ วันที่ห้า ข้าพเจ้าก็ได้ทำสมาธิดีขึ้นเรื่อย และนั่งได้นานขึ้น ภายหลังความคิดของข้าพเจ้าเปลี่ยนมีความสึกดีขึ้นมากกับวันแห่งนี้ วัดแห่งนี้ทำให้ข้าพเจ้ามีความอดทน และรู้ในธรรมมากขึ้นในคุณของบิดามารดามากขึ้น หลังจากกลับบ้านไปนี้ข้าพเจ้าจะนำพวงมาลัยไปกราบเท้าพ่อแม่เพื่อขอโทษท่านที่ข้าพเจ้าทำผิดกับท่านมามากและตลอดไปนี้ข้าพเจ้าจะเป็นคนดีของพ่อแม่และสังคม
นางสาวอทิตยา ปะโนรัมย์ โรงเรียนบัวหลวงวิทยาคม เขียน ไว้ ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2554
รู้ไหมว่าพ่อแม่ห่วงเรายิ่งชีวิต ตอนแรกที่รู้ก็ไม่อยากมาพอมาถึงจิรง ๆ ก็เห็นวัดที่มีแต่ความเงียบสงบวันแรกที่มาปฏิบัติก็รู้สึกเหนื่อยมากอยากกลับบ้าน พอได้ทำสมาธิก็มีความสึกว่าจิตใจสงบมากขึ้น ทำให้ข้าพเจ้านึกถึงแม่มากขึ้น เพราะตอนจะมาวัดข้าพเจ้าได้ทะเลาะกับแม่ เพราะอยากไปเที่ยวกับเพื่อน แม่บอกไม่ให้ไปก็จะไป แม่ก็นั่งร้องไห้ แม่บอกกับข้าพเจ้าว่าวันนี้แม่หาบข้าวมาทั้งวันแทนที่จะไปพักผ่อนแต่ก็กลับมาเห็นข้าพเจ้าทำตัวแบบนี้ยิ่งเหนื่อยเข้าไปใหญ่ ข้าพเจ้าไม่ได้คิดสงสารแม่แม้แต่นิด พอกลับมาจากเที่ยวประมาณตีสอง เห็นแม่นั่งรอแล้วก็ร้องไห้ แล้วก็บอกข้าพเจ้าว่าให้ไปนอน คิดว่าทำไมแม่กับพ่อถึงต้องทนเหนื่อยมานั่งรอข้าพเจ้า แต่ข้าพเจ้าก็ไม่ได้คิดอะไรนอกจากนอนหลับ แต่ตอนนี้ได้พังธรรม นั่งสมาธิข้าพเจ้าก็รู้สึกสงสารพ่อแม่ และอยากกลับไปกราบเท่าท่าน เพื่อเป็นการขอโทษ และทำให้ข้าพเจ้ารู้แล้วว่าพ่อแม่เป็นห่วงเรามากกว่าชีวิตของท่านเอง ข้าพเจ้าขอขอบคุณวัดวะภูและอาจารย์ที่ได้พาข้าพเจ้ามาปฏิบัติธรรมและทำให้ข้าพเจ้ามีสติมากขึ้น
นางสาววิภาพร อุทสิง โรงเรียนบัวหลวงวิทยาคม เขียน ไว้ ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2554
ที่นี่สอนให้มีความอดทน หนูเคยมาวัดวะภูแก้วแล้วครั้งหนึ่งตอนอยู่ ม.3 และไม่เต็มใจมาเลย แต่ก็ต้องจำใจมา พอมาถึงบรรยากาศที่วัดร่มรื่นดี สงบเย็นสบาย วันแรกนั่งสมาธิไม่ได้เลยปวดขา และอยากกลับแต่บ้าน วันที่สอง นั่งได้ เข้าถึงสมาธิ พอได้กลับบ้านหนูพูดกับเพื่อนว่าไม่เคยนั่งสมาธิที่ไหนจะนั่งได้นานขนาดนี้ และอยากนั่งอีก อยากมาวัดวะภูแก้วอีก และแล้ว ม. 5 หนูก็ได้มาที่วัดวะภูแก้ว หนูอยากนั่งสมาธิให้ดีกว่าตอนที่อยู่ ม. 3 บางครั้งก็นั่งได้บ้าง ไม่ได้บ้าง แต่ทุกครั้งนั้นสอนให้หนูมีความอดทนมาก จะปวดขาขนาดไหนหนูก็ทนทุกครั้งเจ็บแค่นี้ไม่ทำให้ตายได้ พ่อและแม่ต้องทุกข์ทนกับความยากลำบากมากกว่านี้ ทำให้หนูรู้จักความอดทน และมีสติทุกครั้ง หนูชอบวัดนี้มากทำให้เด็กนักเรียนเกือบทุกคนมีความอดทนต่อความยากลำบากหนูคิดว่าเพื่อน ๆ ทุกคนคงจะคิดแบบหนู เพราะทุกคนไม่อยากมาเลยแต่ถ้าไม่มาก็ไม่ได้ แต่พอมาแล้วก็เห็นเพื่อน ๆ เข้าถึงสมาธิได้หลายคน บางคนได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ทำให้เพื่อนมีความอดทนกันมาก เพราะเวลานั่งทำวัตรเช้า – เย็น จะต้องนั่งเทพธิดาจนจบ ก็เห็นเพื่อนนั่งกันได้เกือบหมด ประสบการณ์ครั้งนี้ทำให้หนูรู้ในหลายสิ่งหลายอย่าง บุญคุณของพ่อแม่ ผู้มีพระคุณได้ทำให้หนูสำนึกมากขึ้น กลัวบาปมากแล้วอยากทำบุญ ภาวนาอุทิศส่วนบุญส่วนกุศลให้แก่เจ้ากรรมนายเวร
ขอขอบคุณคณะวิทยากรทุกท่านและ ดร.ดาราวรรณ ที่ทำให้หนูรู้ในสิ่งที่ไม่เคยรู้มาก่อน หนูขอให้โครงการนี้อยู่คู่สังคมไทยไปนาน ๆ เพื่อคนที่ยังไม่เคยคิดอยากทำความดี
นางสาวฐิตินันทา กะการดี โรงเรียนบัวหลวงวิทยาคม เขียนไว้ ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2554
บันทึกความในใจ นายวรุฒ แบบรัมย์ ประสบการณ์ที่ผมได้มาเข้าค่ายอบรมที่วัดวะภูแก้ว วัดที่ข้าพาเจ้ารู้ตัวว่าจะมานั้นก็คิดว่าไปตั้ง 5 วัน ข้าพเจ้าคงจะนั่งสมาธิได้ไม่ค่อยนาน เลยคิดว่าจะนั่งสมาธิได้ไม่ค่อยนานเลยคิดว่าไม่ไป แต่คิดไปคิดมาเราก็น่าจะไปลองปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิ รักษาศีล วันแรกที่ข้าพเจ้ามาถึงก็รู้สึกตื่นเต้นและก็ได้เห็นธรรมชาติ ความร่มเย็นของวัดวะภูแก้ว สภาพบรรยากาศเงียบมาก และข้าพเจ้าที่ได้นั่งสมาธิวันแรกนั่งสมาธิก็มีการเจ็บปวดบ้างเล็กน้อย แต่ข้าพเจ้าก็อดทน และวันต่อ ๆ มา ข้าพเจ้าก็สามารถนั่งสมาธิได้อย่างไม่เจ็บปวด เพราะอาจจะมีสมาธิหรืออาจจะมีความอดทนมากขึ้นแล้ว และคระท่านวิทยากรก็ได้เปิดเทปเรื่องพระคุณพ่อแม่ให้ดู ข้าพเจ้าได้ดูก็รู้สึกการที่คนเราจะเกิดมานั้น คุณแม่ของเราลำบากแค่ไหน กว่าจะอุ้มท้องของเรามาจนถึงเวลาคลอด และคลอดเลี้ยงดูเรามาจนถึงทุกวันนี้ และข้าพเจ้าก็ได้รู้ว่าต้องตอบแทนบุญคุณพ่อแม่และข้าพเจ้าขอสัญญาว่าจะดูแลท่าน จะตอบแทนบุญคุณท่าน
นายวรุฒ แบบรัมย์ โรงเรียนบัวหลวงวิทยาคม เขียนไว้ ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2554
บันทึกความในใจ นายอนันต์ ประวรรณรัมย์ ประสบการณ์ก่อนมา ตอนแรกที่ผมรู้ว่าจะได้มาวัดวะภูแก้วตั้งแต่ ม. 4 แล้ว ผมรู้สึกว่าไม่อยากมามันน่าเบื่อน่ารำคาญ และคงจะทรมานเหมือนเดินทางไปนรก แต่พอมาถึงรู้สึกว่าทำไมถึงไวจังไม่อยากให้ถึงเลย อยากกลับบ้าน ประสบการณ์ตอนอยู่วัดวะภูแก้ว วันที่ 2 ธันวาคม 2554 รู้สึกว่าบรรยากาศน่าอยู่มาก แต่ตอนทำวัตรเย็นรู้สึกเมื่อยมาก ยิ่งตอนนั่งสมาธิยิ่งไปใหญ่ วันแรกบอกได้เลยว่าน่าเบื่อมาก
วันที่ 3 ธันวาคม 2554 เห็นคนอื่นทำได้เราก็น่าจะทำได้ จึงลองดูตั้งใจนั่งสมาธิแต่ไม่รู้สึกอะไร ได้แต่ความเมื่อยและคิดว่าชาตินี้คงไม่เป็นสมาธิ
วันที่ 4 ธันวาคม 2554 ตั้งใจขึ้นรู้สึกว่าไม่ค่อยเมื่อยและสบายมากขึ้น คงจะเริ่มชิน
วันที่ 5 ธันวาคม 2554 รู้สึกดีเริ่มเป็นสมาธิและไม่น่าเชื่อว่าคนอย่างผมจะทำได้ เริ่มเห็นแสงสว่างเหมือนกับอยู่บนสวรรค์ในละครเลย มันสว่างจ้ามากตอนแรกก็คิดว่าเราคิดไปเองคงไม่มีอะไรหรอก พอได้ฟังอาจารย์ ดร. พูดก็รู้ว่าเป็น ปิติ
วันที่ 6 ธันวาคม 2554 รู้สึกว่ายังไม่อยากจะกลับอยากอยู่ต่ออีกสัก 1 สัปดาห์ แต่ต้องกลับไปเรียนจึงต้องกลับ
นายอนันต์ ประวรรณรัมย์ โรงเรียนบัวหลวงวิทยาคม เขียนไว้ ณ วันที่ 6 ธันวาคม 2554
|
Last Updated on Wednesday, 21 November 2012 07:16 |