Thursday, 25 October 2012 07:12 |
แก่นแท้ของศาสนาคือสติและปัญญา ยอมรับเลยว่าที่ผ่านมาข้าพเจ้าไม่มีความศรัทธาในพระพุทธศาสนา หรือ ศาสนาอื่นๆ เลย ข้าพเจ้าคิดเสมอว่า คนเราอยู่ได้โดยไม่ต้องพึ่งศาสนา ศาสนาเป็นเรื่องงมงายทำให้คนเชื่อในเรื่องผี สาง เทวดา ซึ่งไร้สาระ ที่เป็นเช่นนี้นั้นก็เพราะข้าพเจ้ามีความเข้าใจศาสนาในแบบผิดๆ มาตลอด ข้าพเจ้ายึดถือในตัวตน “ตัวกู ของกู” หรือยึดถือในอัตตามากจนเกินไป
การมาวัดวะภูแก้วทำให้ข้าพเจ้าเข้าใจในแก่นแท้ของศาสนามากขึ้น วันนี้ข้าพเจ้าได้รู้แล้วว่าศาสนาไม่ใช่เรื่องงมงายเลย หากแต่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจของเราไว้ต่างหาก
โลกเราในปัจจุบัน ทุกอย่างกำลังเร่งรีบ ผู้คนต่างวิ่ง วิ่ง วิ่งเพื่อสู่วันข้างหน้า ไม่มีใครคิดเรื่องบาปบุญ ไม่มีใครคิดเรื่องกรรม หรือ การทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่วเลย และพระพุทธศาสนานี่แหละที่เป็นเหมือนแม่เหล็กที่ดูดเราไว้ขณะเรากำลังรีบวิ่ง จนกระทั่งเราสามารถหยุดลงได้ แล้วพระพุทธศาสนาช่วยเตือนสติ ช่วยหยุดให้เราฉุกคิดได้ว่าอะไรดี อะไรไม่ดี แล้วสิ่งสุดท้ายซึ่งเป็นวันที่ข้าพเจ้าจะเดินทางกลับ ข้าพเจ้าจึงคิดได้ว่า “ในขณะที่เราวิ่งไปข้างหน้า ปัญญาและจิตใจเรากลับเดินสวนทาง หากขาดการพัฒนาจิตให้รู้เท่าทัน”
น.ส.กนกอร สมัญญา ม.5/1 ร.ร.ลำปลายมาศ เพราะความโชคดีหรือมีบุญเก่า ? ก่อนหน้าชีวิตหนูค่อนข้างวุ่นวายสับสน และ เหตุผลหลักเลย คือ การเรียนสูงขึ้น และหนักมาก แต่สภาวะจิตของหนูกลับแย่ลง เคยเป็นคนที่มีเป้าหมายในชีวิตแต่โตขึ้นแทบจะมองหาเป้าหมายไม่เห็นเลย หนูเคยเป็นคนที่เรียนเก่งมาก กล้าใช้คำนี้เพราะตอน ม.ปลาย หนูอยู่ถึงระดับห้องคิงเตรียมอุดมศึกษา แต่ด้วยปัญหาชีวิตมากมายที่ถาโถมเข้ามาหาแบบไม่ทันตั้งตัว และมาหลายเรื่องในเวลาเดียวกัน สภาวะจิตตอนนั้นก็แย่พอแล้ว จนสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัยติดแพทย์รามาฯ ถือเป็นการประคองตัวเองจนประสบความสำเร็จ ชั้นปีที่ 1 ชีวิตการเรียนค่อนข้างสบายจึงไม่ค่อยเครียด ให้พูดตามความจริงคือแทบไม่เรียน ไม่ใช่ไม่มีเรียน แต่หนูไม่ไปเอง เพราะเบื่อกับหนังสือเหลือเกิน แทบเรียกได้ว่า ใช้ชีวิตเสเพล ไม่ต่างอะไรกับการพักร้อนยาวๆ 1 ปี เต็มๆ เลย เมื่อได้ขึ้นปี 2 การเรียนวิชาแพทย์หนักอย่างที่ใครๆ เขาบอกจริงๆ เคยเป็นคนที่เชื่อมั่นในตัวเอง ทำอะไรได้ทุกอย่าง แต่สิ่งเหล่านั้นเป็นเพียงอดีตไปหมดเพราะไม่ว่าหนูจะเรียน หรือตั้งใจแค่ไหนก็ทำได้ไม่ดีมาก ต่อให้ทำมากผลกลับน้อย ยิ่งทำ ยิ่งคิด ยิ่งแย่ ตอนนั้นมองหาที่เกาะที่ยึดว่าควรทำอย่างไรดี นั่งคิดว่าเพราะอะไร คำตอบที่ได้คือ “เราไม่มีสมาธิเลย” แม้เราจะเข้าเรียน มือจดแต่จิตเราไปอยู่นอกห้อง จนวันหนึ่งอ่านหนังสือเตรียมสอบแต่พบว่าตัวเองอ่านไม่ได้เลย จิตว้าวุ่นไปหมด เลยวางหนังสือเข้าอินเตอร์เน็ต ไม่รู้เป็นความบังเอิญ หรือความโชคดีของเรา ได้ดู ดร.ดาราวรรณ ฟังแล้วเกิดรู้สึกว่าชอบความคิดที่อาจารย์ถ่ายทอดออกมามาก จึงไปหาข้อมูล ดร. ใน google แล้วโทรศัพท์เล่าให้คุณพ่อฟัง แล้วขออนุญาตมา แล้วก็ได้มาจริงๆ
การนั่งสมาธิวันแรก ยกแรก โอ้โห! เจ็บขาอย่างนี้ก็นึกในใจว่า เราคงไม่มีโอกาสรู้จักคำว่าสมาธิละมัง แล้วต้องอยู่อีก 4 วัน เราจะไหวไหมนี่ แต่เมื่อเวลาผ่านไป สิ่งที่ยืนยันคำพูดที่ว่า “ความพยายามอยู่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” ได้ผลจริงๆ ทุกครั้งที่เจ็บจะพยายามบอกกับตัวเองว่าเรามาที่นี่เพื่ออะไร เป็นการเตือนตัวเองตลอด ดร.ดาราวรรณบอกให้ลองอดทน อดทน บริกรรมถี่ๆ เดี๋ยวก็หายเมื่อย จดจ่อ เอาความจริง แรกๆ พยายามทำตามดร. บอกมาก แต่ก็ได้บ้างไม่ได้บ้าง แต่ก็ไม่ยอมแพ้จนสุดท้ายก็ดีขึ้น ทำได้นานขึ้นมากขึ้น และมากสุดตอนยกที่พูดเรื่องแม่ น้ำตาหนูไหลไม่หยุด คิดแล้ว คิดทุกอย่างใครจะรู้ว่าการเอาใจจดใจจ่อกับเรื่องนี้จะทำให้เรามีสมาธิมากแบบบอกได้เลยว่ากายสบายอย่างที่อาจารย์บอกเป็นอย่างไร จนวันนี้วันสุดท้ายขอบอกว่าหนูมีสมาธิดีขึ้นมากเลยค่ะ คุณพ่อยังชม อาจยังไม่มากมาย แต่เทียบกับตัวเองแล้ว คุ้มจริงๆ ที่มา นี่คงเป็นบุญเก่าของหนูสินะที่ทำให้หนูได้มาที่วัดวะภูแก้วแห่งนี้ ขอบคุณนะคะที่ทำให้หนูได้รู้อะไรหลายๆ อย่าง ขอบคุณมากกับสิ่งที่ให้ เรื่องบางเรื่องแม้เงินมากมายก็ซื้อไม่ได้จริงๆ หนูจะนำทุกคำสอนไปปฏิบัติ จะพยายามนำการฝึกสมาธิไปฝึกให้ตัวเองมีสมาธิมากกว่านี้ ยิ่งๆ ขึ้นไป หนูจะเป็นคุณหมอที่เก่งและมีคุณธรรมอย่างที่อาจารย์ทุกท่านได้สั่งสอนให้ แล้วหนูหวังว่าอาจารย์จะไม่ลืมว่าที่คุณหมอคนนี้
วรัมพา รุจิดำเกิงศักดิ์ (ผู้อบรมสมทบ) นักศึกษาแพทย์ปี 2 โรงพยาบาลรามาธิบดี
|
Last Updated on Thursday, 25 October 2012 07:23 |