Thursday, 07 July 2016 06:51 |
เพราะมาเข้าค่ายจึงได้เห็นรอยยิ้มของพ่อและแม่ หนูเป็นลูกชาวไร่ชาวนา ไม่ได้มีเงินทองมากนัก ตอนหนูอยู่ ป.5 ช่วงนั้นพ่อหนูติดเหล้าอย่างหนัก ทะเลาะกับแม่ทุกวัน ตอนไปโรงเรียน เพื่อนมักจะล้อว่าเป็นลูกขี้เมา จนได้ฉายาว่า "แก้วสุรา" มีอยู่ช่วงหนึ่ง พ่อกลับมาจากกินเหล้า พ่อทะเลาะกับแม่อย่างหนัก จนถึงขั้นจะหย่าร้างกัน หนูกับพี่ได้แต่นั่งร้องไห้ แต่สุดท้ายพ่อก็ยอมเลิกกินเหล้าเพื่ออนาคตของพี่กับหนู ครอบครัวหนูก็เริ่มมีความสุขมากขึ้น เพื่อนก็หยุดล้อ แต่พอหนูขึ้น ม.2 หนูเริ่มติดเพื่อน เริ่มมีแฟน กลับบ้านช้าตลอด แม่พูดอะไรหนูก็ไม่ฟัง แถมตวาดเสียงใส่แม่ทุกครั้ง ทำให้แม่เครียดหนักมากในช่วงนั้น แต่พอดีคุณครูที่โรงเรียนได้จัดเข้าค่ายอบรมพัฒนาจิต แล้วหนูก็ได้มาค่ายวะภูแก้วตอน ม.2 หนูได้อะไรหลาย ๆ อย่างกลับไป หนูได้รู้ว่าพ่อกับแม่เหนื่อย เจ็บปวดขนาดไหนที่หาเงินส่งหนูเรียน ทำให้หนูรู้ว่ากว่าแม่จะคลอดหนูออกมาต้องเจ็บปวด ต้องเสียเลือดไปมากขนาดไหน การอบรมครั้งนั้นทำให้หนูเปลี่ยนจากเด็กดื้อกลายเป็นเด็กดี ช่วยพ่อแม่ทำงานบ้าน ตื่นแต่เช้ามาช่วยแม่ทำงานทุกเสาร์ หนูเพิ่งเห็นรอยยิ้มของพ่อกับแม่ที่ยิ้มอย่างมีความสุข หนูรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก แล้วต่อมาหนูก็ตั้งใจเรียนจนจบ ม.3 วันนั้นเป็นวันที่หนูมีความสุขที่สุด แล้ว ม.4 หนูก็ได้กลับมาที่วัดวะภูแก้วอีกครั้ง ครั้งนี้หนูมุ่งหวังตั้งใจทำสมาธิ สร้างกรรมดี เพราะใกล้จะถึงวันเกิดพ่อ เลยอยากจะทำความดีเพื่อเป็นของขวัญให้พ่อวันสุดท้ายของการเข้าค่าย ดร.ดาราวรรณได้เปิดเสียงตามสายให้ฟังแล้วให้นั่งสมาธิ ฉันร้องไห้ออกมาด้วยความปลื้มปีติ และดีใจมากที่จะได้กลับไปกอดพ่อกับแม่
นางสาวเกศสุดา ภู่นอก โรงเรียน สีคิ้ว "สวัสดิ์ผดุงวิทยา" ชั้น/ห้อง ม.4/9
เมื่อภาพเก่า ๆ ย้อนเข้ามาในจิต
ข้าพเจ้าก็เป็นมนุษย์อีกคนที่มักจะผลัดวันประกันพรุ่งไปเรื่อย ๆ และวาดฝันเรื่องราวในอนาคตไว้เสียงดงามและสวยหรู จนมาวันหนึ่งก็ถึงเวลาที่ข้าพเจ้าจะต้องเข้ารับการศึกษาต่อในระดับมัธยมต้น... ข้าพเจ้าเชื่อว่าหลาย ๆ คน เมื่ออยู่ประถมทำอะไรดีนิดหน่อยก็เป็นเรื่องราวที่ดีไปหมด แต่เมื่อเข้ามัธยมเท่านั้นแหละ จากหน้ามือเป็นหลังเท้าไปเลย สังคมมัธยมเป็นสังคมที่กว้างขวาง มีคนที่มาจากต่างที่ต่างถิ่นมาอยู่รวมกัน แต่ข้าพเจ้าก็ไม่สนใจ คิดว่าตัวเองได้ดีแล้ว จนกระทั่งพบสังคมที่ต่างออกไปอีกมุม... "คนใส่แว่นคือเด็กเรียน คนขาวคือคนสวย คนใช้ไอโฟนคือคนรวย" ไม่อยากเข้าก็ต้องเข้าแต่คงลืมนึกไปเสียว่า หากเข้าไปแล้วโอกาสที่จะออกมายาก ข้าพเจ้าติดมือถือ ติดโซเชียล จนไม่เป็นอันทำอะไร เล่นเช้าเล่นเย็น พ่อแม่ก็ดุทะเลาะกันบ้านแทบแตก สถานการณ์แย่ลงทุกวัน จนกระทั่งวันสุดท้ายของการศึกษาในระดับมัธยมต้น "ข้าพเจ้าเรียนไม่จบ" เมื่อเดินเข้าไปดูเกรดตัวเอง มันเป็นความรู้สึกที่แย่มากๆ รู้สึกว่าตัวเองทำตัวเหลวแหลก เข้าใจความรู้สึกที่ว่าโลกหมุนรอบตัวเรา อยู่คนเดียวมองไปทางไหนก็ไม่มีใครยืนอยู่ข้างๆ เพื่อนที่คิดว่าจะอยู่กับเราไปจนวันสุดท้ายก็หายไปทีละคน "ทุกคนมีอนาคตที่ดี ในขณะที่ข้าพเจ้ายังหาทางออกไม่เจอ" ข้าพเจ้าจำวันนั้นได้ดี ข้าพเจ้าเดินน้ำตาไหลกลับบ้านเห็นพ่อกับแม่ทำงานอยู่ไกลๆ สมเพชตัวเอง พ่อแม่ใช้น้ำพักน้ำแรงมากมายกว่าจะได้เงินมาแต่ละบาท เสียเงินมากไปเท่าไหร่กับเรา แม่หันมาเจอเรายืนร้องไห้อยู่ แม่รีบวิ่งมากอดบอกว่า "ไม่เป็นไรนะลูก ไหนใครทำอะไรลูกแม่ แม่จะไปจัดการให้" ข้าพเจ้าไม่ได้ตอบร้องไห้อย่างเดียว ไม่รู้ว่าอยู่ตรงนั้นนานแค่ไหน ไม่รู้ว่าความโหดร้ายย้อนมาหาตัวเองมากเท่าไร ไม่รู้ว่าตัวเองทำลายความฝันตัวเองไปขนาดไหน ผู้หญิงและผู้ชายที่ยืนข้างๆ ยังคงจับมือเราไว้แน่น พร้อมกับคำปลอบใจมากมายให้เราสบายใจ ทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไปแอบร้องไห้เวลาอยู่คนเดียว เวลา 1 เดือน ยาวนานราว 1 ปี ไม่นึกว่าข้าพเจ้าจะมายืนจุด ๆ นี้ได้อีกครั้งในฐานะนักเรียน เพียงวันแรกที่ได้รับการอนุมัติจบ ข้าพเจ้าก็ต้องมาปฏิบัติธรรมเลย ขึ้นชื่อว่าปฏิบัติธรรม แค่คิดก็อยากจะวิ่งกลับบ้านแล้ว วันแรกมาถึงก็ได้สวดมนต์นั่งสมาธิตามที่คาด น่าเบื่อ เมื่อยขากระดูกแทบหัก เข้าวันที่สองทุกอย่างเริ่มลงตัวเมื่อจับทางได้ เมื่อจิตข้าพเจ้าเริ่มนิ่ง ภาพต่างๆ ในวันวานย้อนทะลักเข้ามาในหัวราวกับเขื่อนแตก ภาพเด็กผู้หญิงเดินเข้าโรงเรียนกับใครอีกคน ภาพผู้หญิงวัยกลางคนป้อนข้าวเด็กหญิงยากจนมาถึงภาพเด็กผู้หญิงที่โตขึ้นเถียงกับหญิงวัยที่สูงขึ้น "เรามันบาป" ข้าพเจ้าน้ำตาไหล หากย้อนเวลาได้จะไม่ทำแบบนั้นอีก ผู้หญิงที่ชื่อว่าแม่ คนที่ให้อภัยให้เราเสมอไม่ว่าเราจะผิดแค่ไหน ขอขอบคุณ ทางคุณครูและคณะวิทยากรทุกท่านที่โปรดให้โอกาสและความรู้นักเรียนอย่างเต็มความสามารถ และจะนำเอาสิ่งที่ท่านสอนมาปรับใช้ในชีวิตประจำวันให้เกิดประโยชน์สูงสุด
นางสาวพิมพ์ชนก มั่งมี โรงเรียน สีคิ้ว "สวัสดิ์ผดุงวิทยา" ชั้น/ห้อง ม.4/1
หนุ่มใจร้อนรู้สึกสดชื่นอิ่มบุญ ผมเป็นคนที่ใจร้อน เป็นคนอยู่ไม่นิ่ง เป็นคนเกเร เป็นคนที่ชอบเถียงพ่อ เถียงแม่ ไม่ค่อยจะฟังเวลาที่พ่อแม่บอก และผมเคยหลงผิดไปยุ่งเกี่ยวกับอบายมุข สูบบุหรี่ กินเหล้า เวลาพ่อกับแม่บอกก็ไม่เคยจำ และพอเปิดเทอมมาเรียนได้ไม่กี่วัน อาจารย์ก็แจ้งข่าวว่า จะพานักเรียนไปเข้าค่ายพัฒนาจิตที่วัดวะภูแก้ว พอผมรู้ ผมก็ไม่ค่อยอยากจะมา เพราะว่ามาหลายวัน และผมก็รู้อยู่แล้วว่าจะต้องได้นั่งสมาธิ จะได้สวดมนต์ จะต้องได้เดินจงกรม และอีกอย่างหนึ่งก็คือต้องได้ตื่นแต่เช้ามาสวดมนต์ ผมก็เลยไม่ค่อยอยากจะมาสักเท่าไร พอมาวันแรก ผมก็อยากจะกลับบ้านเพราะเจอพี่ Staff ดุ โดนอาจารย์ดุ เพราะผมเป็นคนอยู่ไม่นิ่ง ชอบนั่งคุยกับเพื่อนๆ แต่พออยู่ไปอยู่มาผมก็รู้ว่าการปฏิบัติธรรม ทำให้ผมได้รู้จักอะไรเยอะแยะ ทั้งบุญ ทั้งบาป ทั้งการนั่งสมาธิ การสวดมนต์ ผมรู้สึกว่าตอนนั่งสมาธิและสวดมนต์แล้วได้อะไรมากมายเลยครับ ผมได้เขียนคำถามไปให้ท่านคณะวิทยากร ว่าผมเป็นคนใจร้อน อยู่ไม่นิ่ง อยากอยู่นิ่งและอยากใจเย็น พอท่าน ดร.ดาราวรรณได้ตอบคำถามของผม ผมก็เลยลองปฏิบัติตามที่ท่านบอก พอได้นั่งสมาธิ ผมรู้สึกว่ามีความสดชื่น รู้สึกดี รู้สึกอิ่มบุญ รู้สึกว่ามีจิตใจนิ่งขึ้น และสุดท้าย ผมต้องขอขอบคุณอาจารย์ ที่ได้นำผมมาค่ายพัฒนาจิต วัดวะภูแก้ว ผมรู้สึกว่าได้อะไรหลาย ๆ อย่างในชีวิต และขอขอบคุณท่านคณะวิทยากรที่ทำให้ผมรู้จักบุญ รู้จักบาป และรู้จักความกตัญญูแก่พ่อแม่ แก่ครูบาอาจารย์ และได้รู้เรื่องเกี่ยวกับพระพุทธศาสนา เรื่องนรก เรื่องสวรรค์ ฯลฯ
นายชาคริต เกิดชยภูมิ โรงเรียน สีคิ้ว "สวัสดิ์ผดุงวิทยา"
ได้สติกลับคืนมาแล้ว สำหรับข้าพเจ้าในการอบรมพัฒนาจิตครั้งนี้ ถือว่าดีมากเลย เพราะช่วงปิดเทอมที่ผ่านมา ข้าพเจ้าเหมือนคนไม่มีสติ ไม่มีสมาธิเลย พอช่วงเปิดเรียนมาใหม่ข้าพเจ้าก็ยังไม่เข้าใจการสอนของคุณครูแม้แต่นิดเดียว จนเปิดเทอมมาได้ 4 วัน ก็ยังไม่ได้อะไรอีกแม้แต่นิดเดียว จนครูบอกว่าจะมีการอบรมพัฒนาจิตที่วัดวะภูแก้ว ข้าพเจ้าบอกไว้ก่อนเลยว่าข้าพเจ้าไม่อยากมาแม้แต่นิดเดียวเลย เพราะข้าพเจ้าเหนื่อยกับสมองมาก แต่อีกใจหนึ่งก็คิดว่ามาดีกว่าจะได้ความจำกลับมาบ้างเพราะข้าพเจ้ารู้สึกว่าความจำของข้าพเจ้าสั้นมากจึงมาอบรม แต่ก็ได้ผลดีนะ สิ่งที่ข้าพเจ้าแปลกใจก็คือถึงข้าพเจ้าจะเคยอบรมมาหลายรอบแล้ว แต่ทำไมไม่เคยคิดที่จะร้องไห้เลย เมื่อได้ฟังเรื่องพระคุณแม่ แปลกดีนะ น่าจะเป็นเพราะข้าพเจ้าไม่ได้อยู่กับแม่หรือเปล่าเลยไม่รู้สึก แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าภูมิใจก็คือบทสวดมนต์ ที่ทุกคนรวมกันสวด แล้วไพเราะจึงเป็นสิ่งที่ข้าพเจ้าภูมิใจมาก จนถึงวันสุดท้ายของการอบรม ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าสติกลับคืนมาแล้ว
นางสาวลุภสรา เฉลยกลาง โรงเรียน สีคิ้ว "สวัสดิ์ผดุงวิทยา" ชั้น/ห้อง ม.4/7
รู้แล้วว่ามาวัดทำไม ตั้งแต่อยู่ ม.3 ก็จะได้เห็นว่า พี่ๆ เขามาเข้าค่ายอบรมพัฒนาจิตที่วัดวะภูแก้ว เราก็คิดว่า พอเราขึ้น ม.4 เราก็ต้องไปเหมือนกัน ทีแรกก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะมาทำไม เราคิดในใจว่ามันจำเป็นที่ต้องมาด้วยหรือ มาเพื่ออะไร เสียงบประมาณ และเราก็คอยนับถอยหลังวันที่จะได้มาวัดวะภูแก้วซึ่งก็ไม่อยากมาเท่าไร พอมาถึงก็ได้พบกับบรรยากาศที่ร่มรื่นน่าอยู่ แต่ก็ไม่อยากอยู่หรอก พอมาถึงก็มานั่งฟังอาจารย์ด็อกเตอร์พูดบรรยายอะไรก็ไม่รู้ คิดแต่ว่าอยากกลับบ้าน น่าเบื่อสุดๆ พอตอนทำสมาธิยกแรก แทบร้องไห้เพราะปวดขามาก พอถึงเวลาประกาศแชมป์ ก็เห็นคนอื่นที่ได้มาบอกว่าให้ท่องคำบริกรรมว่า พุทโธ บ้าง ยุบหนอ-พองหนอบ้าง แล้วจะรู้สึกสบายไม่ปวด เราก็ลองทำก็ไม่เห็นจะหายปวด จนมาถึงยกที่ 5 เป็นวันที่ได้ขึ้นไปบนลานธรรมครั้งแรก เราชอบมาก อยากอยู่ไปนาน และเป็นครั้งแรกที่เราคิดว่าเราได้สมาธิ เราดีใจมาก และชอบมาก ความคิดที่อยากกลับบ้านก็หายไป พอวันที่ 3 ทางวิทยากรได้เปิดวิดีโอที่แม่คลอดลูก เราเห็นคนอื่นร้องแต่เราไม่ร้อง ไม่ใช่ว่าไม่สำนึกนะ แต่ในใจเรารู้สึกผิดมาก อยากจะขอโทษแม่ อยากจะกอดแม่ เราเป็นคนชอบขัดคำสั่ง บอกไม่ฟังเถียงตลอด ทำแม่ร้องไห้ก็หลายครั้ง เที่ยวก็เคยเที่ยวไปโดยไม่บอกพ่อแม่ เหล้าก็เคยกิน บุหรี่ก็สูบ เรามาค่ายนี้ ก็ได้อะไรหลาย ๆ อย่าง สำนึกผิดจริง อยากขอโทษพ่อแม่ที่เราดื้อ และอยากขอบคุณพ่อแม่ที่ทำให้เราได้เกิดมาและขอบคุณคณะวิทยากรวัดวะภูแก้วที่ทำให้เราได้อะไรหลาย ๆ อย่าง
นายพิพัฒน์พงษ์ กลิ่นด้วง โรงเรียน สีคิ้ว "สวัสดิ์ผดุงวิทยา" ชั้น/ห้อง ม.4/7
|
Last Updated on Thursday, 07 July 2016 07:05 |