Sunday, 14 December 2014 07:48 |
ธรรมของจริงเกิดขึ้นที่จิต
ในการที่จะมาปฏิบัติธรรมที่วัดวะภูแก้วในครั้งนี้ ความจริงแล้วข้าพเจ้าไม่ได้อยากที่จะมาปฏิบัติธรรมเลย เพราะข้าพเจ้าไม่ชอบเรื่องธัมมะธัมโมอะไรมากนักหรอก จะมาให้ข้าพเจ้ามานั่งยุบ ๆ พอง ๆ เหมือนกบเหมือนอึ่งอ่าง ข้าพเจ้าก็คงจะทำไม่ได้หรอก แต่พอมาถึงที่วัดแล้วข้าพเจ้ากลับรู้สึกปีติยินดีและยิ่งได้มาพบ ดร.ดาราวรรณ แล้ว ข้าพเจ้ารู้สึกเหมือนกับท่านได้ชี้แนวทางที่ถูกต้องให้กับข้าพเจ้า พอข้าพเจ้าได้ลองนั่งสมาธิครั้งแรก ข้าพเจ้าก็รู้สึกสงบอย่างบอกไม่ถูก แต่ขณะนั้นก็จะมีความปวดเมื่อยเข้ามาแทรกแซงแต่ทุกครั้งที่ข้าพเจ้ามีความปวดหรือเมื่อย ข้าพเจ้าจะใช้การเจริญสติคือการกำหนดรู้ เจ็บก็รู้สึกว่าเจ็บ ปวดก็รู้ว่าปวด ไม่ได้ไปเอาสุขเอาทุกข์กับมัน จนทำให้ข้าพเจ้าได้เป็นแชมป์ในการนั่งสมาธิ และทุกครั้งที่ข้าพเจ้าจะทำอะไร ข้าพเจ้าจะได้ยินเสียงกึกก้องเข้ามาในหูว่า
“ศุภกิจ เธอจงระวังความคิดของเธอ เพราะความคิดของเธอจะกลายเป็นความประพฤติของเธอ เธอจงระวังความประพฤติของเธอ เพราะความประพฤติของเธอจะกลายเป็นพฤติกรรมของเธอ เธอจงระวังพฤติกรรมของเธอ เพราะพฤติกรรมของเธอจะกลายเป็นอุปนิสัยของเธอ เธอจงระวังอุปนิสัยของเธอ เพราะอุปนิสัยของเธอจะเป็นตัวกำหนดชะตาชีวิตของเธอชั่วชีวิต” และด้วยเสียงนี้มันก็จะทำให้ข้าพเจ้ามีสติในการทำกิจกรรมและปฏิบัติกิจกรรมต่างๆ อย่างมีความสุข ข้าพเจ้าต้องขอขอบคุณวัดวะภูแก้วที่ได้เปิดโอกาสให้ข้าพเจ้าได้พัฒนาจิตใจ และอยากบอกว่าขอบคุณมากจริงๆ ครับ
นายศุภกิจ กะเชิญรัมย์ โรงเรียนสีคิ้ว “สวัสดิ์ผดุงวิทยา” ชั้น ม.4/4 เขียนไว้ ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557 สำนึกของธิดาช้าง จากการที่หนูได้มาอบรม 5 วันนี้ หนูรู้สึกอยากกลับบ้านมาก ตอนแรกหนูก็ไม่อยากจะมาเลย รู้สึกว่ามันจะยุ่งยากอะไรนักหนากับแค่มาเข้าค่ายเนี่ย โทรศัพท์ก็ยึด นอนก็ดึก ตื่นก็เช้ามาก มีแค่นั่งสมาธิ หนาวก็หนาว แต่พออยู่ไป หนูนั้นเปลี่ยนความคิดเลย ตอนที่ ดร.ดาราวรรณ ให้นั่งสมาธิ หนูปวดขามาก แล้วหนูก็เป็นคนอ้วน น้ำหนักมาก จะนั่งท่าไหนก็ลำบาก มันปวดสุดๆ แต่พอนั่งไปทุก ๆ วัน มันก็ปวดอยู่ แต่มันก็เกิดความชิน ถึงหนูจะนั่งไม่ได้นาน แต่หนูก็ตั้งใจทำ ตั้งใจนั่งสมาธิ
ก่อนที่หนูจะมา นิสัยหนูนั้นชอบเถียงพ่อ-แม่ แต่ไม่เคยด่าท่าน หนูเป็นคนขี้น้อยใจ คิดมากอยู่แล้ว ยิ่งโดนด่าแบบนี้ มันก็รู้สึกไม่ดี คิดว่าตัวเองเป็นตัวปัญหา อยากจะหนีออกจากบ้านแต่ไม่รู้ว่าจะไปอยู่ไหน แต่พอได้มาเข้าค่ายอบรมพัฒนาจิต ทำให้หนูนั้นร้องไห้เลย ตอนที่หนูดูวีดิโอที่แม่คลอดลูก หนูสำนึกผิดได้มาก รู้ว่าแม่ทรมานมาก ๆ หนูอยากกราบแม่สุดๆ หนูอยากกลับบ้านมากเพราะแม่อยู่บ้านคนเดียว แล้วแม่หนูพึ่งโดนรถชนเมื่อ 2 เดือนก่อน แม่เดินไม่ค่อยได้ หนูไม่อยากจะมาเท่าไรเพราะไม่มีใครอยู่กับแม่ หนูอยากขอบคุณ ดร.ที่ทำให้หนูมีสมาธิขึ้น รู้ว่าแม่นั้นมีความรักให้หนูมาก ขอบคุณค่ะ นางสาวปัทมา เจริญสุข โรงเรียนสีคิ้ว “สวัสดิ์ผดุงวิทยา” ชั้น ม.4/5 เขียนไว้ ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557
เด็กช่างสงสัยได้ธรรม ตั้งแต่ครั้งแรกที่ข้าพเจ้าได้ทราบข่าวเรื่องจะต้องไปเข้าค่ายธรรมมะที่วัด ข้าพเจ้าคิดว่าไปที่นั่นคงลำบากแย่ คงไม่สบายเหมือนอยู่บ้าน และไปตั้ง 5 วัน มันต้องทรมานมากแน่เลย ทำยังไงดี? บอกว่าป่วยแล้วทำใบแพทย์ปลอมดีมั้ย? แล้ววันที่ต้องไปค่ายก็มาถึง ตลอดทางพลางนึกคิดในใจว่า “โอ้ย มันคงน่าเบื่อสุดๆ แน่เลย” ลำพังไปวัดก็ไม่อยากจะไปอยู่แล้ว นั่งสมาธิก็ไม่เคยถึงครึ่งชั่วโมง หัวก็มึนและสัปหงกอยู่แล้ว มาวันแรก ดร.ดาราวรรณ ได้แสดงธรรม เล่าเรื่องชาดกให้ฟัง ข้าพเจ้ามีเรื่องข้องใจหลายอย่างเกี่ยวกับพุทธศาสนา เช่น นั่งสมาธิแล้วได้อะไร ทรมานตัวเองไปซะเปล่าๆ นั่งท่าไหนก็ได้ จำเป็นต้องนั่งขัดสมาธิด้วยหรือ? พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเดินได้ 7 ย่างก้าว ฉะนั้นเชียวหรือ? บริจาคเลือดแล้วได้บุญในเรื่องใด ตอนแรกก็รู้สึกประมาทต่อพระพุทธศาสนา เพราะคิดว่า ประเทศที่เขาเคร่งศาสนาพุทธ เช่น ประเทศอินเดียดูเหมือนงมงายไม่พัฒนา กราบไหว้บูชาวัว นับถือวัว ล้าหลัง อะไรๆ ก็พระเจ้า (พระผู้เป็นเจ้า) จนไม่เป็นตัวของตัวเอง เอะอะ อะไรก็บาป จนได้มาอบรมที่วัดวะภูแก้วแห่งนี้จึงได้หายข้องใจทั้งหมดว่าที่พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้วเดินได้ 7 ย่างเกิดปัญญาว่า ร่างกายของคนเรามันไม่เที่ยง เราไม่ควรจะไปยึดกับมัน ถ้ามันเป็นของเรา เราต้องบังคับมันได้สิ ไม่มีอะไรที่เป็นของเราจริง เพราะสุดท้ายมันก็ต้องสูญไปจากเรา สิ่งที่เป็นของเราจริง คือ จิตเพียงอย่างเดียว เพราะลองคิดดู เวลาตื่นเช้าๆ เราปวดปัสสาวะ กายเราปวด แต่ใจเราอยากนอนต่อ ถามว่าเราบังคับกายเราได้ไหม? สุดท้ายก็ไม่ได้ก็เพราะมันไม่ใช่ของเรา ทำให้ข้าพเจ้าปลงทางโลกไปมาก ก่อนมาข้าพเจ้าอกหักผิดหวังจากรักที่ไม่สมหวัง แต่พอมาแล้ว ข้าพเจ้าถึงคิดได้ถึงรู้ เกือบจะเป็น “ดักแด้แย่ดักดาน” มาที่นี่ข้าพเจ้าได้เคล็ดลับกลับไปใช้ในชีวิตมากมาย ทั้งการเรียน ความรัก ครอบครัว การปฏิบัติธรรม และอื่นๆ ฯลฯ กลับบ้านไปข้าพเจ้าคงเปลี่ยนมุมมองความคิดจิตใต้สำนึกหลายอย่าง และเปลี่ยนตัวเองกลับไปเป็นคนใหม่ เลิกนิสัยแย่ๆ ที่เคยประพฤติกับพ่อแม่ ครูบาอาจารย์
อยากขอบคุณทางโรงเรียนมากที่ทำให้ข้าพเจ้าได้มีโอกาสได้มาอบรมที่วัดแห่งนี้ รู้สึกโชคดีมาก
นางสาวอมรทิพย์ หมายนัดกลาง โรงเรียนสีคิ้ว “สวัสดิ์ผดุงวิทยา” ชั้น ม.4/8 เขียนไว้ ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557
สิ่งที่มีค่าที่สุดในชีวิตคือพ่อแม่ ก่อนที่หนูจะมาวัดนี้ หนูรู้สึกดีใจเพราะจะได้ไม่ต้องฟังเสียงพ่อและแม่บ่นให้ฟังเพราะทุกครั้งที่พ่อแม่บ่น หนูจะรู้สึกรำคาญ บางครั้งหนูคิดว่าอยากจะออกไปอยู่ที่บ้านของน้า หนูรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่ได้รักหนูเลย หนูได้แต่คิดว่าพ่อแม่ของหนูทำไมไม่เหมือนกับพ่อแม่ของคนอื่น ทำไมไม่มีอย่างคนอื่นเขา ทำไมต้องทำไร่ทำสวน หนูเคยถามพ่อกับแม่ครั้งหนึ่งว่า “ทำไมพ่อกับแม่ต้องทำสวน” การทำไร่ทำสวนเป็นอาชีพที่ทำให้เราพออยู่พอกิน ถึงแม้มันจะไม่ใช่อาชีพที่มีรายได้สูง บางครั้งลงทุนทำไปก็ขาดทุนเพราะแห้งแล้ง ราคาผลผลิตก็ตกต่ำมาก ทำให้พ่อและแม่แทบทรุด เหนื่อยและท้อ แต่พ่อกับแม่จะนึกถึงลูกเสมอว่าต้องสู้ต้องอดทนเพื่อลูกจะได้อยู่สุขสบาย
การที่หนูได้มาเข้าค่ายที่วัดวะภูแก้วแห่งนี้ ทำให้หนูได้รู้อะไรหลายๆ อย่าง ได้รู้ว่าบาปเป็นอย่างไร ได้รู้ว่าบุญเป็นแบบไหน ทำอะไรแล้วได้บุญ ทำอะไรแล้วได้บาป ความรู้เหล่านี้ต้องขอบคุณ ดร.ดาราวรรณ ที่ได้เล่าเรื่องราวต่างๆ ให้หนูได้รู้ ให้หนูได้สำนึก ได้คิดตรึกตรองและปรับตัวใหม่ หนูไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่า “การนั่งสมาธิ” จะสร้างเสริมบุญและส่งไปให้พ่อกับแม่ได้ เวลาทำสมาธิ หนูจะตั้งใจทำเพราะรู้ว่าทำแล้วสามารถเสริมบุญให้แก่ตัวเองและผู้มีพระคุณ ถึงจะปวดทรมานมากแค่ไหน หนูก็พยายามอดทนให้ถึงที่สุด และเมื่อทำได้หนูรู้สึกภูมิใจมาก การนั่งสมาธิทำให้รู้สึกจิตใจสงบเหมือนกับสายน้ำไหลนิ่งๆ ทำให้จิตใจเย็นสบาย ระลึกถึงคุณบิดามารดา และตอนนี้หนูก็รู้แล้วว่าสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของหนูก็คือ “พ่อกับแม่” ทุกสิ่งทุกอย่างที่ท่านได้ติเตือนก็เพราะว่าท่านรักเรามากแค่ไหน และทำเพื่อเราทุกๆ อย่าง ถึงตอนนี้ ลูกๆ ทุกคนรู้แล้วสำนึกหรือยังว่า พ่อและแม่มีพระคุณมากมายมหาศาลหาสิ่งใดเปรียบมิได้เลย จากนี้ไปหนูก็ได้ปรับเปลี่ยนความคิดแล้ว อยากกลับไปกอดแม่ กราบเท้าพ่อแม่ อยากไปทำหน้าที่ลูกที่ดีกว่านี้
คำว่า “ทุกข์” หาได้จากที่ไหน คำว่า “สุข” จะเจอได้เมื่อไหร่ ณ ตอนนี้ ฉันรู้และเข้าใจ “ทุกข์และสุข” หาได้จากใจเรา
นางสาวกรณคา หาญกลา โรงเรียนสีคิ้ว “สวัสดิ์ผดุงวิทยา” ชั้น ม.4/5 เขียนไว้ ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557
ทุกข์เพื่อสุข ตั้งแต่ผมรู้ว่าจะได้มาเข้าค่ายธรรมะ ผมก็รู้สึกไม่อยากมาแล้วเพราะเป็นคนไม่เข้าวัด ก็เลยไม่อยากมาสักเท่าไหร่ แต่พอมาถึงก็ได้เจอ ดร.ดาราวรรณ คติประจำใจที่ท่านสอนคำแรก ทำให้จิตผมนิ่งลงจากเดิมมาก ท่านสอนคติประจำใจว่า “สติมาปัญญาเกิด สติเตลิดจะเกิดปัญหา” คำพวกนี้สำหรับผมมันก็คุ้นๆ หู แต่ผมก็ไม่ค่อยจะควบคุมสติสักเท่าไร การปฏิบัติมีความปวดเมื่อย ทรมาน ผมก็ไตร่ตรองดู แต่ถ้าเราไม่อดทน ไม่ตั้งสติไม่ตั้งจิต สมาธิก็จะไม่เกิด จิตก็จะอ่อนเหมือน ดร.ดาราวรรณบอก มันจะเหมือนคนปัญญาอ่อน พอวันที่ 3 ผมตั้งใจอดทน เมื่อยแค่ไหนก็ทน ผมนึกถึงพ่อแม่ ย่าและน้องที่อยู่ทางบ้าน มันทำให้ผมมีแรงสู้ จนได้แชมป์ในยกที่ 6 ได้ มันเป็นอะไรที่ภูมิใจ เพื่อนยังตกใจ หน้าอย่างนี้ทำได้ไง จนวันสุดท้ายที่จะได้กลับ แต่รู้สึกไม่อยากกลับ อยากจะอยู่ที่นี่ตลอดไป ชอบที่นี่มาก ทำให้คิดอะไรได้เยอะ เปลี่ยนคนชั่วเป็นคนดีได้ภายใน 5 วัน ผมถือว่าตัวเองโชคดีมีบุญ ที่ได้มา ณ วัดวะภูแก้วแห่งนี้ กลับไปผมสัญญา อะไรที่วิทยากรท่านสอน ผมจะปฏิบัติให้ได้และจะเป็นคนดีของสังคม “ทุกข์เพื่อสุข” คำนี้ผมจะจำจนตาย ผมเรียนจบมีงานทำ ผมเป็นลูกคนโต ผมจะเป็นหัวหน้าครอบครัวที่ดีให้ได้ ผมขอสัญญา
นายอรรถพล โรงเรียนสีคิ้ว “สวัสดิ์ผดุงวิทยา” ชั้น ม.4/4 เขียนไว้ ณ วันที่ 25 พฤศจิกายน 2557
|
Last Updated on Sunday, 14 December 2014 08:15 |