ปาฏิหาริย์สองอาจารย์ หลักการปฏิบัติของพระป่ากรรมฐานท่านจะเน้นที่การ “พิจารณา” เสมอๆ ไม่ให้ประมาท ไม่ให้หลงว่า คุณธรรมมรรคผลนั้น เป็นของๆ ตน แม้ว่าจะ “ได้” หรือ “มี” คุณธรรมมรรคผลวิเศษนั้นๆ แล้วก็ตาม ความหมายของคำว่า “พิจารณา” ที่ว่านี้ ก็คือ การยกภูมิจิตขึ้นสู่อารมณ์วิปัสสนา พิจารณาตัวตนของตนลงไปที่สัจธรรมแห่งไตรลักษณ์ เหมือนกับที่หลวงปู่ขาวคอยถามหลวงปู่เจี๊ยะอยู่เสมอ ๆ ว่า “ค้นบ่ ค้นบ่” (ยังพิจารณาอยู่ไหม ?) แม้แต่หลวงปู่มั่นถึงแม้ดวงจิตท่านจะบริสุทธิ์เป็นวิสุทธิจิต (พระอรหันต์) แล้ว ท่านก็ยังคงเดินจงกรม พิจารณาอยู่ไม่ได้ขาด ภายหลังหลวงปู่เทสก์เคยถามท่านว่า ท่านจะพิจารณาไปทำไม (ในเมื่อจิตพ้นแล้ว) ท่านก็ตอบว่า พิจารณาเป็นตัวอย่างให้พวกเธอดูเท่านั้น ในสมัยหนึ่ง หลวงพ่อพุธอยู่ที่วัดแสนสำราญ จังหวัดอุบลราชธานี ตอนนั้นไม่มีใครทราบว่าท่านได้คุณธรรมมรรคผลวิเศษหรือยัง แต่ที่แน่ๆ คือท่านถูกลองดีหรือถูกทดสอบขันติธรรมในปีนี้ ในวันเดียวกันโดนเข้าถึงสองอาจารย์เลยทีเดียว อาจารย์ที่ว่านี้ไม่ใช่พระผู้ใหญ่ที่ไหน แต่เป็น “เด็ก” กับ “ผู้หญิง” เรื่องสนุกแบบที่หลวงพ่อท่านขำไม่ออกมีดังนี้
อาจารย์แรกคือ เด็กน้อยอายุ 5 ขวบ เรื่องเกิดขึ้นตอนที่หลวงพ่อพุธกำลังบิณฑบาตอยู่ แม่ของเด็กคนนี้กำลังใส่บาตรให้หลวงพ่อพุธ เด็กน้อยที่ตามแม่มานี้ พอเห็นหน้าหลวงพ่อก็ร้องขึ้นเสียงดังว่า
“มึงบ่แม่นพระดอก! มึงบ่แม่นพระดอก!” (มึงไม่ใช่พระหรอก มึงไม่ใช่พระหรอก) คนอื่นเห็นอาจจะนึกขำ แต่หลวงพ่อขำไม่ออก ทั้งทีแรก ยังรู้สึกหงุดหงิดจะโกรธเจ้าเด็กไม่รู้กาลเทศะน้อยๆ คนนี้ แต่ท่านไม่ลืมที่จะ “พิจารณา” ท่านจึงตระหนักได้ว่า “เฮ้อ...! จริงของมัน ! เราไม่ใช่พระหรอก ถ้าเราเป็นพระเราต้องไม่โกรธซิ !” พอท่านเดินต่อมาอีกสักหน่อย ก็เกิดมีผู้หญิงขับมอเตอร์ไซค์เสียหลักล้ม แล้วทิ้งมอเตอร์ไซค์ กระโจนเข้ากอดท่านแบบเต็มๆ ถึงตอนนี้หลวงพ่อท่านบอกว่า ชายกับหญิงเวลามันสัมผัสถูกกันแล้ว มันผิดกัน มันทำให้รู้สึกได้ แต่ก็ยังโชคดี ที่ท่านไม่ลืมที่จะ “พิจารณา” ท่านก็รีบกำหนดจิตของท่านทันที ฝ่ายผู้หญิงคนนั้น รู้ตัวว่าได้ถูกเนื้อต้องตัวท่านแม้ไม่ตั้งใจก็รู้สึกผิด จึงรีบกราบขอโทษท่านทันที หลวงพ่อท่านเมตตาบอกว่า ไม่เป็นไรหรอกหลวงพ่อก็กำลังสำรวมจิตตัวเองอยู่ สรุปวันเดียวท่านได้ถึงอาจารย์ใหม่ถึงสองอาจารย์ อาจารย์ที่สอนธรรมแบบภาคปฏิบัติจริงๆ เป็นบททดสอบที่สำคัญของท่าน ภายหลังหลวงพ่อพุธท่านได้ข้อคิดจากเรื่องนี้ว่า “ความโกรธกับความรัก มันมีโทษเท่ากัน” ส่งเจ้าปู่กลับสวรรค์
ชาวพุทธที่แท้จริงนั้น นับถือพระรัตนตรัย คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เมื่อนับถือพระรัตนตรัยแล้ว ต้องเชื่อกฎแห่งกรรม เชื่อในบาปบุญคุณโทษ ต้องไม่เชื่อมงคลตื่นข่าว ไม่นับถือผีหมิ่นพระสงฆ์ ไม่จับสัตว์มาฆ่าบูชายัญ หรือหมกมุ่นแต่ในไสยศาสตร์ ถ้าหากว่าเอาแต่งมงายในไสยศาสตร์แล้ว ย่อมเป็นชาวพุทธเพียงแค่ลมปากเท่านั้น ในสมัยที่หมู่คณะพระป่ากรรมฐานของหลวงปู่มั่นจาริกเผยแผ่ธรรมไปที่ใด ท่านก็จะสอนให้นับถือ “พระรัตนตรัย” ที่แห่งนั้นที่ท่านจรจาริกผ่าน ก็มักจะเลิกนับถือ “ผี” ไปโดยปริยาย ทั้งนี้เป็นเพราะ ชาวบ้านเมื่อรู้จักวิธีการภาวนาจากคณะของท่าน ภาวนาได้ ภาวนาเป็น จิตใจสงบก็คลายกลัวผีสางลงไป หรือที่อธิบายพิสดารกว่านั้นก็คือ คณะพระป่าผู้มีศีลธรรมและเมตตาธรรมจาริกไป เหล่าผีป่าผีบ้านก็รู้สึกกลัวในอานุภาพแห่งพระธรรม เปลี่ยนจากผีที่เป็นมิจฉาทิฐิมานับถือพระป่าธุดงค์กรรมฐาน ผีป่าผีบ้านเหล่านี้เมื่อเจอกับพระป่ากรรมฐานมักจะสำแดงฤทธิ์ไม่ออก เรื่องราวพิสดารเหล่านี้มีอยู่ในชีวประวัติพระธุดงค์กรรมฐานเสมอๆ แต่หลวงปู่มั่นท่านสอนเสมอๆ ไม่ให้พูดเรื่องอภินิหารอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์เหล่านี้ กับคนธรรมดาทั่วไปที่ไม่อาจรับรู้เรื่องเหล่านี้ได้เป็นอันขาด เพราะไม่มีประโยชน์อะไรเลย คนที่ไม่เชื่อเขาก็จะปรามาสเอาเสียอีก สมัยหนึ่ง หลวงพ่อพุธจำพรรษาที่วัดเขาสวนกวาง จังหวัดขอนแก่น ตอนท่านอยู่อาศัยกับอาจารย์ของท่าน คือ พระผู้ใหญ่ผู้อาวุโสท่านหนึ่ง มีญาติโยมคนหนึ่งนั่งสมาธิแล้วอ้างว่า พ่อปู่มาเข้าร่างตน พอเข้าร่างชายคนนี้แล้ว ชายคนนี้ก็ดิ้นกระแด่วๆ แปลงร่าง (ทั้งๆ ที่ดูอย่างไรก็ยังเป็นร่างเดิม) กลายเป็นพ่อปู่สวรรค์ ชื่อว่า “พ่อปู่ผึ้ง” พอเป็นร่างทรงแล้ว ก็ชี้โบ๊ชี้เบ๊ สั่งนู่นสั่งนี่ บอก (แกมบังคับ) ว่า จะต้องสร้างศาลให้พ่อปู่อยู่ หลังจากสร้างศาลแล้ว ก็จะต้องให้หลวงพ่อพุธ ต้องคอยส่งอาหารและเครื่องดื่มให้ตนทุกวัน พออาจารย์ท่านเห็นการมาของพ่อปู่ดังนั้น ท่านก็สั่งให้หลวงพ่อพุธทำตามที่พ่อปู่สั่งทุกอย่าง หน้าที่การส่งข้าวส่งน้ำให้พ่อปู่ จึงกลายเป็นหน้าที่สำคัญของหลวงพ่อพุธไป แรกๆ หลวงพ่อท่านก็ทำตามคำสั่งอาจารย์ทุกอย่าง ส่งข้าวส่งน้ำอยู่อย่างนั้นทุกวันๆ ตอนหลังๆ หลวงพ่อเห็น อาหารและน้ำของพ่อปู่มดขึ้นตลอด พ่อปู่ก็ไม่เห็นโผล่หัวมากินสักกะที หลวงพ่อพุธท่านจึงช่วยพ่อปู่ ด้วยการ “ฉันเอง” ซะเลย! ต่อมา หลวงพ่อพุธท่านก็เกิดนึก “เหลือโตน” (สงสาร) พ่อปู่จับใจท่านเลยวางแผนช่วยพ่อปู่กลับสวรรค์ ณ บริเวณศาลพ่อปู่ฝึ้ง หลวงพ่อพุธอุตส่าห์ช่วยสวดบังสุกุลให้จนเสร็จ แล้วท่านก็กองหญ้าราดน้ำมันเบนซินเอาไว้ จุดบุหรี่วางบนกระป๋องน้ำมันเบนซินใกล้ๆ กับกองหญ้า เพียงเท่านี้ ก็เหลือแค่รอเวลาที่ลมพัดแรงๆ เท่านั้น ก็เรียบร้อย! พ่อปู่จะได้กลับบ้านเสียที! แล้วก็เป็นไปตามที่คาด ศาลพ่อปู่เหลือแต่ตอตะโก! พออาจารย์ท่านมาเห็นเข้าก็ร้องเสียงหลง “เฮ้ย...!!! มึงไปเผาบ้านเจ้าปู่ซะวอดวายเลยเหรอวะเนี่ย!” หลวงพ่อพุธก็ตอบหน้าตาเฉย “อ๋อ...พ่อปู่ท่านสวรรคตไปแล้ว ท่านไปนิพพานแล้ว ผมฌาปนกิจพระเพลิงท่าน ตั้งแต่เมื่อวานแล้ว!” แก้วิปลาสด้วยตาทิพย์ อาการ “วิปลาส” เป็นอาการทางจิตที่เกิดขึ้นกับพระนักปฏิบัติ อาการนี้พระที่เป็นจะมีความคิดผิดๆ หลงอยู่ในโลกแห่งนิมิต หรือมีมิจฉาทิฐิ มีทัศนคติที่ผิดๆ หรือ หลงเข้าใจว่าตนเองสำเร็จธรรมขั้นสูงแล้ว อาการเหล่านี้เกิดขึ้นได้หลายสาเหตุ เช่น มาจากการหลงติดอยู่ในนิมิตที่ตนเองเห็น แล้วหลงในนิมิตนั้นว่าเป็นจริงเป็นจัง จนแยกความจริงกับนิมิตไม่ออกจากกัน อีกสาเหตุหนึ่งคือ วิปัสสนูปกิเลส หรือ กิเลสอย่างละเอียดมากอันเกิดขึ้นกับอารมณ์วิปัสสนา เช่น ความอิ่มใจ ความหยั่งรู้ เป็นต้น กิเลสอย่างละเอียดนี้ผู้ปฏิบัติที่ละ “การพิจารณาลงสู่ไตรลักษณ์” มักจะติดกับกิเลสอย่างละเอียดนี้ จนหลงผิดเข้าใจว่า ตนเองสำเร็จมรรคผลแล้ว ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อพุธได้รับการไหว้วานให้ช่วยแก้วิปลาสให้กับหลวงปู่บุญ ชินวังโส ซึ่งท่านเป็นพระผู้ใหญ่มากในหมู่คณะพระป่ากรรมฐาน อาการวิปลาสของหลวงปู่บุญคือ ท่านเพ่งกสิณแล้วเห็นโลกแตกทั้งยังหลงในนิมิตว่ามีผู้หญิงคนรักรอท่านอยู่ หลวงพ่อพุธก็ค่อยๆ แก้ไปทีละอย่าง หลวงปู่บุญก็อาการดีขึ้นมาก แต่ยังติดหลงอยู่ในเรื่องที่ว่า ผู้หญิงคนรักนั้นยังรอท่านอยู่จนถึงทุกวันนี้ที่บ้านเกิดของท่าน ท่านจะสึกเพื่อไปแต่งงานกับผู้หญิงคนนี้ให้ได้ หลวงพ่อพุธจึงบอกว่า จะพาไปที่บ้านเกิดของท่านเพื่อกลับไปหาผู้หญิงคนนี้ก็ได้ แต่มีข้อแม้อย่างหนึ่งคือ ถ้าหากว่าผู้หญิงคนนี้แต่งงานไปแล้ว หลวงปู่จะต้องไม่สึก แต่ถ้าผู้หญิงคนนี้ยังไม่แต่งงาน หลวงพ่อพุธจะเป็นเถ้าแก่งานแต่งให้เอง พอหลวงปู่บุญรับปาก หลวงพ่อพุธก็บอก (ราวกับมีตาทิพย์) ว่า ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก เพราะผู้หญิงคนนี้แต่งงานแล้ว! เมื่อเดินทางไปถึงที่บ้านเกิดของท่านแล้ว หลวงปู่บุญไม่รอช้าเดินดุ่มๆ เข้าหมู่บ้านทันที ด้วยความรักเพรียกหา หลวงพ่อพุธและหลวงตาพี่ชายหลวงปู่บุญและพระองค์อื่นๆ ก็มานั่งใจจดใจจ่อรออยู่ที่วัดในหมู่บ้าน พอหลวงปู่บุญโผล่ออกมาแต่ไกลเท่านั้น (โดยไม่มีผู้หญิงออกมาด้วย) หลวงพ่อพุธและพระทั้งหลายที่รออยู่ก็รู้แล้ว พากันหัวเราะขำกันยกใหญ่ “เป็นไง?” หลวงพ่อพุธแกล้งถาม “โอ๊ย...! เขาเอาไปกินจ้อย!” หลวงปู่บุญตอบอายๆ “สัญญาต้องเป็นสัญญานะ” หลวงปู่บุญก็ตอบรับ “เออ!” แล้วจึงถามต่อ “รู้ได้ยังไงว่าเขาแต่งงานไปแล้ว?” หลวงพ่อพุธจึงเฉลยอิทธิฤทธิ์ตาทิพย์ของท่าน ให้ได้ฮาอีกครั้ง “ไม่รู้หรอก พูดเอาชนะคนเฉยๆ นี่แหล่ะ! ก็เขาเด็กรุ่นเหลนเรานี่ เขาจะมาแต่งงานกับ “ไอ้แก่ๆ รุ่นราวคราวปู่” อย่างงี้ได้ยังไง ฮึ ?!?!” เหล็กไหล (ได้) ความเชื่อทางไสยศาสตร์เรื่องหนึ่ง ที่พวกเราเคยได้ยินกันมานานคือ เรื่องเหล็กไหล ซึ่งคนที่เชื่อเขาก็เชื่อว่า “เหล็กไหล” เป็น ของวิเศษ เป็นเครื่องรางนำโชค มีลักษณะคล้ายลูกเหล็กสีดำ แต่อ่อนตัวไหลไปมาได้ ต่อมามีข่าวลือกระฉ่อนไปทั่วว่า หลวงพ่อพุธมีเหล็กไหลอยู่ในครอบครอง คนที่รู้ข่าวลือ ต่างก็มาหาท่าน เพื่อมาขอซื้อเหล็กไหลจากท่าน ซึ่งท่านก็ยืนยันว่าท่านไม่มีอยู่ในครอบครอง คนที่เชื่อเรื่องเหล็กไหลนี้ ก็ถามท่านว่า “เหล็กไหลมีจริงหรือไม่?” ท่านก็ตอบไปตามความจริง ตามประสบการณ์ของท่านที่ท่านได้เคยสัมผัสมา ท่านตอบว่ามีจริง ใครจะเชื่อหรือไม่เชื่อก็สุดแล้วแต่วิจารณญาณของแต่ละบุคคล แต่ท่านไม่ได้ยืนยันอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์นำโชคนำลาภของเหล็กไหล หนำซ้ำยังเมตตาเตือนสติผู้ที่สนใจในเรื่องนี้ว่า เกรงว่าจะเป็นการหลอกลวงกันเสียมากกว่า มีสตรีท่านหนึ่งอุตส่าห์มาไกลจากจังหวัดชลบุรี มานอนพักอยู่ที่วัดป่าสาลวันหลายวันมาก หลวงพ่อท่านก็ไม่สนใจ นึกว่าสตรีท่านนี้ต้องการมาปฏิบัติธรรมอย่างจริงจัง เพราะได้ข่าวว่าหลวงพ่อมีเหล็กไหล จึงมีจุดประสงค์ที่แท้จริงคือจะขอเหล็กไหลกับหลวงพ่อ หลวงพ่อท่านก็บอกไปว่าไม่มีจริงๆ เมื่อเห็นสตรีคนนั้นทำหน้าเศร้า ท่านจึงพูดว่า “อยากได้จริงๆ หรือ? เหล็กไหลน่ะ” สตรีคนนั้นตาตื่น หูผึ่งมีความหวังขึ้นทันที รีบตอบ “เจ้าคะ อยากได้จริงๆ” “มีอยู่ที่นึง เหล็กไหลเยอะมากเลย หลวงพ่อจะบอกสถานที่ให้ อยากรู้ไหมล่ะ?” สตรีท่านนั้นหูผึ่งตาตื่นหนักกว่าเก่า รีบตอบ “ค่ะๆๆ ที่ไหนเหรอคะ? หลวงพ่อ” หลวงพ่อพุธตอบหน้าเฉย “ไปที่สถานีรถไฟนะ ทุกวันจะมีเหล็กไหลจากโคราชไปกรุงเทพฯ วันละหลายๆ เที่ยวเลย” เจิมทำไม ? ความเชื่อทางไสยศาสตร์กับคนไทยมักจะไปด้วยกันเสมอๆ หลวงพ่อพุธท่านก็เข้าใจนิสัยคนไทย แม้บางครั้งลูกศิษย์ลูกหาญาติโยม มาขอให้ท่านทำพิธีทางไสยศาสตร์ให้ ท่านก็ไม่ขัดข้อง แต่ก็มักจะมีคติธรรมเตือนสติฝากไปด้วยเสมอๆ เช่นการเจิมรถนี้ ท่านก็ไม่ปฏิเสธศรัทธาญาติโยม ท่านเมตตาทำให้ทุกครั้ง แต่ท่านก็เตือนสติไปด้วยว่า “มาให้หลวงพ่อเจิมให้น่ะ คนเจิมเองก็รถคว่ำมาหลายครั้งแล้วนะ!” พอคนฟังทำท่าทางงงๆ ท่านก็จะบอกว่า “เจิมรถน่ะ มันไม่ถูกต้องหรอก ต้องเจิมคน ถึงจะถูก!” เรื่องที่หลวงพ่อพุธท่านประสบอุบัติเหตุบ่อยๆ นี้ ท่านไม่ได้พูดเล่น เป็นเรื่องจริงที่หลวงพ่อเคยประสบอุบัติเหตุรถคว่ำถึงสองหน เกือบโดนฟ้าผ่าอยู่ในโบสถ์อีกหนึ่งหน (แต่ท่านนิมิตเห็นก่อนจึงออกมาทัน) เกือบโดนสะเก็ดระเบิดที่กรุงเทพฯ อีกหนึ่งหน ท่านจึงพูดได้อย่างเต็มปากว่า ต้องเจิมที่ “คน” ไม่ใช่เจิมที่ “รถ” ถึงจะถูกต้อง ลูกศิษย์เมื่อมีโอกาสจึงถามว่า จะทำจิตใจอย่างไร? ถ้าตกอยู่ในเหตุการณ์อันตรายเฉพาะหน้าเช่นนี้ หลวงพ่อท่านก็สอนว่า “จิตที่ฝึกอยู่เสมอ เมื่อมีเหตุการณ์เฉพาะหน้าเกิดขึ้น มันจะรวมได้อย่างรวดเร็ว” แล้วท่านก็เล่าเรื่องชวนขำให้ฟังเมื่อตอนที่ท่านประสบอุบัติเหตุรถคว่ำว่า ตอนนั้นท่านเดินทางโดยรถยนต์จากอุบลราชธานีกลับมาโคราช พอรถวิ่งเข้าทางโค้ง เกิดเสียหลักพลิกคว่ำไปหลายตลบ ท่านก็รวมจิตของท่านได้อย่างรวดเร็ว จนจิตรวมเด่นลอยสูง ในขณะที่รถนั้นพลิกคว่ำหงายเก๋งหลายตลบ แต่รอบสุดท้ายนั้น รถกลับมาตั้งในท่าปกติได้ ท่านก็มีสติระลึกรู้อย่างรวดเร็ว เห็นหลังคารถโป่งแหลมจนเป็นรูปจั่ว แต่คนในรถไม่มีใครบาดเจ็บ ทันใดนั้น คนในรถก็ตะโกนร้องขึ้น “หลวงพ่อหัวแตก!” เมื่อท่านเอามือคลำศีรษะท่านดู ก็เห็นสีแดงฉานเต็มมือไปหมด เวลานั้นทุกคนในรถต่างตกใจเป็นอย่างมาก แต่ท่านเห็นว่ามันแปลกๆ ท่านจึงยกมือของท่านขึ้นมาดมกลิ่นเลือด เพียงเท่านั้นเองท่านก็หัวเราะลั่น... ก็กระโถนน้ำหมากที่อยู่ในรถมันหกรดศีรษะท่าน! อุบายเตือนสติไม่ให้หลง หลวงพ่อพุธมีอุบายในการเตือนสติลูกศิษย์ ไม่ให้หลงกับการหลอกลวงของกิเลสอยู่เสมอๆ พญากิเลสทั้งสาม ได้แก่ ความโลภ ความโกรธ ความหลงนั้น มันมีอุบายที่แยบยลให้ผู้ปฏิบัติธรรมหลงผิดได้เสมอๆ เช่น บางเรื่อง เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง เช่น การลักขโมย การประพฤติผิดศีลของพระสงฆ์องค์เจ้า การโกงบ้านโกงเมือง ผู้ปฏิบัติธรรมเห็นแล้ว ก็รู้สึกว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ถูกต้อง ซึ่งการรู้จักแยกแยะถูกผิดบาปบุญคุณโทษได้นั้นเป็นเรื่องที่ดี แต่เรื่องภายนอกเหล่านั้น เมื่อเราพิจารณาว่าเราได้ทำหน้าที่ของเราให้ดีที่สุดแล้ว เราไม่สามารถช่วยอะไรหรือแก้ไขอะไรได้ เราก็ต้องรู้จักวางอุเบกขา (ปล่อยวาง) เพราะไม่เช่นนั้นแล้ว ความตั้งใจดีของเรานั้น มันกลับกลายมาเป็นความไม่พอใจ ความหงุดหงิด ความโกรธ กลับมาทำร้ายเราเสียเองได้ เรื่องต่างๆ ต่อไปนี้ เป็นกุศโลบายที่แยบยลของหลวงพ่อ ที่ท่านสอนให้ลูกศิษย์รู้จักคิด ไม่หลงในกลลวงของกิเลส ของหาย พระรูปหนึ่งมาปรึกษาหลวงพ่อเรื่องนาฬิกายี่ห้อแพงของตนถูกขโมยไป หลวงพ่อแกล้งนั่งหลับตา แล้วก็บอกว่า “มันไม่ใช่ความผิดของขโมยหรอก มันเป็นความผิดของตัวเราเอง ที่อยากมีของแพงเอาไว้ ทำให้ขโมยมันเกิดความโลภอยากได้ !” พระอีกรูปหนึ่งมาโวยวายว่า วิทยุทรานซิสเตอร์ของตนถูกขโมยไป หลวงพ่อพุธจึงสอนว่า “ดีแล้วล่ะ! ขโมยมันช่วยลดบาปของท่าน ท่านมีวิทยุอย่างนี้ นานๆ เข้าท่านก็เผลอไปฟังเพลง มันบาปนะ!” ปล่อยไปเถอะ พวกยิ่งรวยยิ่งโกง เดี๋ยวกรรมก็ตามมันทัน คนบางพวกนั้นโกงจนรวย แต่พอรวยแล้ว ก็ยิ่งโกง แต่เหตุที่คนพวกนี้ยังไม่ได้รับผลกรรมชั่ว ก็เป็นเพราะคนพวกนี้มีบุญเก่าเยอะ ผลกรรมชั่วจึงยังส่งผลไม่ถนัด แต่ในไม่ช้าเดี๋ยวผลกรรมชั่วนั้นก็จะตามทันในที่สุด หลวงพ่อพุธท่านจะเตือนสติ ไม่ให้นึกว่าบาปกรรมไม่มีจริง เพียงแต่มันยังไม่ส่งผล เราต้องเข้าใจ และอย่าไปนึกโกรธแค้นว่าทำไม คนเช่นนั้นยังได้ดิบได้ดีอยู่ เพราะจะเป็นทุกข์กับตัวเราเสียเอง ครั้งหนึ่งท่านสอนลูกศิษย์ เกี่ยวกับเรื่องนี้ว่า “พอเห็นเขามีบ้านสวย ก็สาธุ! ท่านมีบุญ ท่านจึงมีบ้านสวยๆ อยู่ เห็นเขารวย ก็สาธุ! ท่านร่ำรวย เพราะท่านมีบุญท่านจึงร่ำรวย แล้วถ้า เขารวยเพราะโกงมาล่ะ? ยังจะสาธุไหม?....” หลวงพ่อท่านหยุดให้คิด ก่อนจะเฉลย “...ก็สาธุสิ เขามีบุญจึงโกงแล้วรวย เราโกงทีเดียวติดตารางจ้อย...!! นี่ที่จริงเขารวยก็เพราะบุญเก่า (ซึ่งมีวันหมด) ของเขา” ไม่ใช่ ก็รับไม่ได้ซิ ครั้งหนึ่งมีผู้นำจดหมายใส่ปัจจัยมาถวายหลวงพ่อ แต่ในซองมีใบปวารณาเขียนจ่าหน้าซองว่า “ขอถวายแด่พระอริยเจ้า....” ท่านจึงพูดขึ้นมาว่า “อ้าว...! ถ้าเราไม่ใช่พระอริยเจ้าก็บริโภคของเขาไม่ได้ซิ!”
ที่มา : หนังสือ รอยยิ้มพระอรหันต์ อารมณ์ขันพระอริยะ โดยคุณวีระวัฒน์ ชลสวัสดิ์
|