พระธรรมเทศนาเนื่องในงานวันบูรพาจารย์ (2) โดย หลวงปู่บุญเพ็ง กัปปะโก วัดป่าวิเวกธรรมิการาม จังหวัดขอนแก่น เทศน์ในงานวันบูรพาจารย์ ณ วัดป่าสาลวัน ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ ๑ ธันวาคม พ.ศ. ๒๕๔๓
ให้ดูตัวเองจะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าก็เหมือนกัน จะเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เหมือนกัน ให้นั่งดูตัวเองว่าตัวเองนั่นนะ ได้เกิดมาแล้ว มันเกิดมาจากไหน แล้วอะไรมันพาให้มาเกิด ให้พากันนั่งดู ปุพเพ กะตะปุญญะตา บุญเก่าที่เราได้มาเกิดเป็นมนุษย์ แล้วก็ได้มาบวชเป็นพระภิกษุสงฆ์องค์เจ้า แล้วก็ได้มาบวชเป็นแม่ชีบ้างแม่ขาวบ้าง และเราก็ได้มาถือศีลกินทานบ้าง และเราก็ได้มาฟังธรรมอยู่ ณ สถานที่นี้ที่เรามาอยู่ที่นี่ ให้นั่งถามดูตัวเองว่ามาจากไหน แล้วมาอยู่นี่อยู่ทำอะไร แล้วเวลาไปแล้วจะไปไหน ปุพเพ กะตะปุญญะตา บุญเก่าที่นำให้เรามาเกิด ที่นำให้เรามา บุญตัวนั้นอยู่ที่ไหนของเก่าอยู่ที่ไหน แล้วเราไปทำอะไรอยู่ตรงไหน ที่ว่า ปุพเพ กะตะปุญญะตา แล้วนำให้เรามา ให้เราไปถามดูซิว่า บุญนั้นมาจากไหน แล้วเราทำอะไรบุญจึงเกิดขึ้นเป็นปุพเพ กะตะปุญญะตา ให้เรานำไปถามดูถามตัวเองนะ อย่าไปถามคนอื่น ถามคนอื่นเราถามมาพอแล้ว ถามจนไม่มีคำที่จะถามแล้ว ทีนี้ให้นั่งถามตัวเองว่าเรามาเป็นมนุษย์ ว่าเรามาเป็นคนที่ว่ามาด้วยบุญ บุญอะไรพาให้เรามา นั่งดูหัวใจตัวเอง แล้วก็ให้เสกพุทโธพร้อมนะ เสกพุทโธไปก่อน แล้วก็ให้หายใจให้คล่อง หายใจให้สะดวก เวลาหายใจเข้าหายใจออกก็ให้สะดวก แล้วก็ตามลมเข้าลมออก ตามดูซะก่อน เราอย่าได้ไปดูอะไรที่อื่น ให้ดูที่ว่าลมเข้าลมออกที่เราอยู่ปัจจุบัน เราอยู่ได้เพราะลม ทีนี้มีใครสนใจบ้าง สนใจลมตัวเองมีมั๊ย มันไม่มีใครสนใจนะว่าเราอยู่ทุกวันนี่ เราอยู่ได้เพราะอะไรไม่ได้พากันคิดนะ มีแต่อยู่เฉย ๆ เราอยู่ได้ก็อยู่ไปเฉย ๆ ว่ามีอะไรเป็นของที่มีคุณค่า นั่นไม่ได้นึก ไม่ได้คิดนะ ให้เราคิดดูซิ นึกดูลม ลมเป็นของมีคุณค่า ชีวิตของเราจะอยู่มาได้ตั้งแต่แรกเกิด มาจนถึงอายุ 20 ปี 30 ปี 40 ปี 50 ปี ตลอดถึง 60 70 80 ก็มี เราอยู่ได้เพราะอะไร ถ้าไม่มีลมละอยู่ได้มั๊ย นั้นละลมจึงเป็นของที่มีคุณค่าอย่างมหาศาล แต่เรานั้นหาได้สนใจไม่ ทีนี้คุณค่าของลมไม่ใช่แต่จะมีชีวิตอยู่เท่านั้น
แม้แต่เราจะไปสู่สุคติสวรรค์ ก็ยังอาศัยลมอีก แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า พระองค์จะได้ตรัสรู้เป็นอนุตรสัมมาสัมโพธิญาณ เราได้อ่านหรือยังประวัติของพระพุทธเจ้า ถ้าอ่านแล้วก็คงจะเข้าใจว่าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้านั่งประทับอยู่ที่ต้นมหาโพธิ์ หันหลังเข้าสู่ต้นโพธิ์และหันหน้าสู่ทิศตะวันออก ทีนี้พระองค์กำหนดอะไรละ กำหนดอานาปานสติ ในตำราว่า คำว่า อานาปานสติมันเป็นภาษาบาลี อานาปานสติคือกำหนดลม พระองค์กำหนดลมของพระองค์ไม่เอาลมใครจากที่อื่นมา เอาลมหายใจของพระองค์ แล้วพระองค์ก็มากำหนด พอกำหนด กำหนดตรงไหนกำหนดลม กำหนดที่ปลายจมูกคือปลายจมูกของพระองค์ เรียกว่านาสิก ที่กำหนดที่ปลายจมูก แล้วลมมันเข้าตรงนั้นแหละ ลมมันก็ออกตรงนั้นแหละ ทีนี้พระองค์ก็ไม่ได้ไปเอาใครมาปรุงมาแต่ง ลมก็ไม่ต้องการให้ใครปรุงใครแต่งเหมือนอย่างเราหายใจอยู่เดี๋ยวนี้หละ ทีนี้มีใครมาปรุงมาแต่งลมให้ มีมั๊ย มันเข้ามันออกของมันเองใช่มั๊ย นี่ความจริงนะนี่ ถ้าพูดความจริงให้ฟังก็ไม่อยากฟังหรอกคน ถ้าพูดสนุกสนานมันชอบ พูดความจริงให้ฟังมันไม่อยากฟังคนมันเป็นอย่างนั้น จะเอาจริง ๆ ก็ไม่เอา แล้วอยากได้จริง แต่เวลาทำจริงตัวเองเลยไม่มีอะไรจริงแต่หากอยากได้จริง ไม่รู้มันจะเอาจริงที่ไหน ที่ให้กำหนดลม ลมเข้าลมออก ออกตรงไหนมันไม่เลยจมูกเราไปหรอก ก็ออกที่ปลายจมูก แล้วเข้าก็เข้าไปที่ปลายจมูก เข้าไปตรงนี้ละ เข้าไปถึงไหนเข้าไปถึงปอด พอปอดแล้วมันก็กระจายไปทั่วร่างกาย นั่นละกำหนดเข้าไป กำหนดเข้าไปดูปอด ไปถึงปอดมันก็ออกมา ที่ว่าเดินอยู่ตรงนี้ละที่นี่ เดินเข้า เดินออก เดินเข้าไปแล้วก็เดินออกมา นี่เรียกว่าเดินจงกรม เดินจงกรมในตัวเอง ส่วนความรู้มาก ๆ ที่เรารู้มา เอาวางไว้ก่อนนะ เอาวางไว้ที่ใดก็ได้ เอาไว้ที่บ้านก็ได้ เอาไว้ในตำรับตำราก็ได้ ให้มารู้จำกัดเฉพาะลม ลมเข้ากับลมออก หายใจเข้าไปทีนี้พระพุทธองค์ท่านทำแบบนี้ เวลาหายใจเข้าท่านก็รู้ หายใจออกท่านก็รู้ รู้ลมเข้าและรู้ลมออก ท่านก็ไม่ได้ไปเอาที่อื่น ท่านเอาที่ลมเข้าและลมออกนี่ละ ให้เรากำหนดเอาไว้ อย่าไปรู้อย่างอื่นอย่าไปสนใจอย่างอื่น อย่าเอาใจไปยุ่งอย่างอื่นนอกจากลม เอาแค่ลม เอาแค่นั้นละ ไม่เอามาก แล้วก็ไม่ให้รู้มาก เอาลองดูซิว่ามันจะไปได้มั๊ย ส่วนความเจ็บความปวดนั่นวางไว้ก่อน ให้เอาแต่ลมเข้าลมออกในหัวใจซะก่อน แล้วเวลากำหนดเข้าไปนะ ที่เราจะบริกรรมตามเข้าไปนะ
สมัยพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าท่านก็ไม่ได้เอาพุทไม่ได้เอาโธ พระองค์ก็เอาแต่กะลม ทีนี้เราเอาเฉพาะแต่ลมเข้า แต่ลมออก นี่เบื้องต้นให้รู้ซะก่อน ต่อไปนั่นนะให้ใช้คำบริกรรม พุทเวลาเข้า โธ ออก เอาอยู่แค่นั้น อย่าไปสนใจอย่างอื่น ไอ้เรื่องเจ็บเรื่องปวดเรื่องเวทนา อย่าไปคิดว่ามันจะหายไป มันหายไม่เป็นหรอกเพราะคนยังไม่ตาย ถ้ายังไม่ตายมันก็ต้องมีอยู่อย่างนี้แหละ แต่เราอย่าไปสนใจมัน ให้สนเฉพาะหัวใจ พุทโธ ๆ กับใจให้เข้ากันซะก่อน แล้วไอ้นั่นวางไว้ก่อน ลองดูซิมันจะเป็นยังไงนี่หลักการปฏิบัตินะ นี่วิธีการกระทำนะ เราจะมาฟังอยู่เฉย ๆ ฟังแล้วมันทำอะไรไม่ได้มันก็เลยไม่รู้เรื่อง ทีนี้ให้ทำไปด้วย ให้กำหนดไปด้วย คือกำหนดหัวใจตัวเองนั่นแหละ แต่ให้เข้าไปสู่วงในอย่าออกไปข้างนอก วงในคือในไหน คือในท่ามกลางหน้าอก ก็ท่ามกลางหน้าอกของเรามันอยู่ตรงไหน ให้อยู่ในท่ามกลางหน้าอกคือส่วนกลางหน้าอกนี่ ให้เราอยู่ในท่ามกลางหน้าอกอย่าส่งไปนอก อย่าส่งไปไหน ทำใจให้มันอยู่กับลม อยู่ในทรวงอกเดินเข้าเดินออกตรงนี้ก่อน อย่าพึ่งไปไหน อย่าพึ่งไปเอาเรื่องอะไรมาคิด และอย่าไปคิดถึงเรื่องอะไร ให้เข้าไปดูซิว่า ปุพเพ กะตะปุญญะตาของตัวเองนั้นที่ได้มา และมันมาอยู่ตรงไหน ให้เข้าไปดูซิ นี่ทำเพื่ออะไร ทำเพื่อจะเข้าไปดูปุพเพ กะตะปุญญะตา ปุพเพ กะตะปุญญะตามันอยู่ตรงไหน แล้วมันก็อยู่ข้างใน ทีนี้เราก็รู้ว่าแต่เรามาเกิด เรารู้แต่ว่าปุพเพ กะตะปุญญะตาพาให้มา ทีนี้ปุพเพ กะตะปุญญะตาก็จะตามเราไปอีก ก็หมายถึงว่าบุญนั้นก็จะตามเราไปอีก เพราะบุญเป็นที่พึ่งพำนักของสัตว์ในโลกหน้า
พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าไปแล้ว ภาษิตที่ยกเอ่ยขึ้นในเบื้องต้นหมายความอันนี้แหละ คือว่าบุญเป็นที่พึ่งพำนักของสัตว์ในโลกหน้า โลกก็จะอาศัยบุญที่เรานั่งอยู่ตรงนี้หละ ที่จะได้เป็นปุพเพ กะตะปุญญะตาต่อไปอีก ทีนี้ก่อนที่จะเป็นปุพเพ กะตะปุญญะตานั่นนะ ก็ให้ตั้งใจ ตั้งใจรวบรวม รวบรวมเอาไว้ เสกพุทโธเข้าไปนั่นนะ เดินไปแค่นี้เราอย่าไปเดินไกลไอ้เดินจงกรมนั่นนะ มันเมื่อยเดินเข้าไปข้างในและก็ออกมาที่เก่านั่นแหละ เดินอยู่แค่นี้ก่อน เอาลองดูซิมันจะเป็นยังไง ทีนี้อย่าไปคำนึงกับเรื่องอะไรต่าง ๆ ใครจะว่าอะไรใครจะดีอะไรใครจะชั่วอะไรก็ช่างมัน ปล่อยมันไปก่อน เราเอาแค่นี้ก่อน เราอย่าไปเอาอย่างอื่น เพราะเราได้พากันมาแล้ว มาเพื่ออะไร มาเพื่อปฏิบัติมิใช่หรือ หรือจะมาฟังเฉย ๆ ฟังเฉย ๆ ไม่ใช่ฟังคอนเสริท อันนี้ฟังเพื่อปฏิบัติด้วย องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าสมัยครั้งพุทธกาลท่านไปสำเร็จที่ไหน ที่พระองค์เคยสอนพระสาวกนั่นท่านสอนยังไง สอนแล้วให้ไปเดินจงกรม แล้วจึงให้สำเร็จหรือ ก็ไม่ใช่เท่าไรนัก ก็มีเป็นบางครั้งแต่บางครั้งลำบาก อย่างพระจักขุบาล นี้เรียกว่าอดหลับอดนอนตลอดพรรษา พอออกพรรษาตาแตกก็ได้สำเร็จ พระรัฐบาลก็เดินจงกรมตลอดพรรษาเท้าก็แตกแล้วก็ได้สำเร็จ อันนั้นลำบากแต่พระพุทธเจ้าสอนครั้งแรกจบธรรมเทศนา พระอัญญาโกณฑัญญะก็ได้โสดาบันได้ดวงตาเห็นธรรม แล้วก็สอนปกิณกะธรรมให้แก่ท่านทั้ง 4 ก็ได้บรรลุโสดาบันเช่นเดียวกัน แล้วก็ทรงอุปสมบท เมื่ออุปสมบทเสร็จเรียบร้อย พระองค์ก็ได้ทรงแสดงธรรมเทศนาอนัตตลักขณสูตร พอจบธรรมเทศนา ท่านทั้ง 5 ก็ได้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ ท่านไปทำที่ไหน ท่านไปเดินจงกรมหรือเปล่า ท่านเข้าไปถ้ำที่ไหนหรือเปล่า ท่านไปนั่งทนทุกข์ทรมานเหมือนเราหรือเปล่า หลังจากนั้นก็พระยสะ พระยสะก็หนีจากบ้านมาสด ๆ พระพุทธเจ้าก็ทรงเสด็จจงกรมอยู่ “ที่นี่วุ่นวายหนอ ที่นี่ขัดข้องหนอ” บ่นมา พระพุทธเจ้าบอก “ที่นี่ไม่วุ่นวาย ที่นี่ไม่ขัดข้อง” มาทางนี้เถอะ เราจะแสดงธรรมให้ฟัง ยืนงง พอมองไปเห็นมหาบุรุษคือเห็นพระพุทธเจ้า ก็เลยเข้าไปหา แล้วก็นั่งที่โคนสวนนั่น ก็พระองค์ทรงแสดงธรรมเทศนา อะไรละ อนุปุพพิกถา 5 และอริยสัจ 4 พอจบธรรมเทศนาก็ได้ดวงตาเห็นธรรม คือได้โสดาบัน บิดาตามมา แล้วพระพุทธเจ้าก็ทรงสอนให้เศรษฐีผู้เป็นบิดา พระยสะนั่งอยู่ข้างหลังก็สอนธรรมอันเก่านั่นหละ อนุปุพพิกถา 5 และอริยสัจ 4 พอจบธรรมเทศนาแล้ว พระยสะที่นั่งอยู่ข้างหลังได้สำเร็จอรหันต์ แต่ผู้เป็นบิดาก็ได้โสดาบัน ท่านไปทำที่ไหนคิดดูซิ ท่านไปเดินจงกรมที่ไหน ท่านไปเข้ากรรมฐานที่ไหน มีมั๊ยละ มีห้องกรรมฐานมั๊ย มีคนจัดสถานที่ให้มั๊ย สำเร็จเพราะอะไร เพราะการฟังมิใช่หรือ ท่านจึงได้ตรัสพุทธภาษิตว่า “สุสสูสัง สภเต ปัญญัง” ฟังด้วยดี ย่อมได้ปัญญา นั่นได้ปัญญามั๊ย ก็ได้ปัญญาสิได้สำเร็จ ผู้ที่สำเร็จก็ต้องมีปัญญาสิ เรียกว่าวิปัสสนา วิปัสสนาก็แปลว่าปัญญาอันรู้แจ้ง ท่านก็ได้สำเร็จเห็นมั๊ย นั่นละได้สำเร็จ ที่นี้สำเร็จท่านได้สำเร็จเพราะอะไร ทีนี้เราคิดหรือเปล่า คิดว่าเราจะไปทำน่ะ พวกที่ไปทำน่ะ เดินธุดงคกรรมฐาน แบกกลด สะพายบาตร แล้วญาติโยมก็ไปตาม แล้วก็ไปทำตาม แล้วเวลามาน่ะได้อะไรบ้างหรือเปล่า ผลสุดท้ายก็สู้ไม่ไหว ทำไปทำนองนั้น มันสู้ไม่ได้ถึงจะทำขนาดไหนก็สู้มันไม่ได้เลยกิเลส ทีนี้การฟังน่ะฟังให้มันเป็นประโยชน์สิพวกเรา แล้วก็หัดสู้ตัวเองบ้างซิ ทีนี้ทำใจเหลาะแหละแล้วเอาแต่อำเภอใจ เอาแต่ใจชอบตัวเองชอบยังไงก็เอาอย่างนั้น ถ้ายากหน่อยก็ไม่เอาแต่ว่าอยากได้สำเร็จ ถ้าสำเร็จจริง ๆ จะเป็นยังไง ก็ไม่รู้ว่าความสำเร็จคืออะไร แต่ก็อยากได้เพราะไม่รู้ว่าจะทำยังไงมันจึงจะถูกกับใจของพวกเรา จะเป็นพระสงฆ์องค์เจ้าก็เหมือนกัน จะเป็นอุบาสกอุบาสิกาก็เหมือนกัน แต่อยากได้ แต่ไม่รู้ว่าความสำเร็จคืออะไร สำเร็จแล้วจะไปอยู่ที่ไหน สำเร็จแล้วมันจะเป็นยังไง มันก็ไม่รู้แต่ก็อยากได้ โดยมากมันเป็นอย่างนั้น ทีนี้เราสู้ด้วยตนเองบ้างสิ มันจะเป็นยังไง เราอย่าปล่อยจิตปล่อยใจของเราไปนั่นน่ะ เข้าไปดูข้างในว่ามันมีอะไร ตับมันอยู่ตรงไหน ไตมันอยู่ตรงไหน พุงมันอยู่ตรงไหน ปอดมันอยู่ตรงไหน ไส้มันอยู่ตรงไหน มันมีกี่ขด น้ำเลือดอยู่ตรงไหน น้ำเหลืองอยู่ตรงไหน แล้วที่เราสวดไปแล้วเมื่อตะกี้นี้สวดอะไรละ ก็สวดไปแล้วมิใช่หรือนับตั้งแต่เกสา โลมา นะขา สวดไปแล้ว ทีนี้ก็เข้าไปดูซิเนี่ยะ นั่นนะให้เข้าไปดูตรงนั้นเรียกว่าเข้ากรรมฐาน แล้วเวลาสำเร็จมันจะไปสำเร็จอะไร สำเร็จพวกนี้แหละเห็นพวกนี้แหละ เบื่อพวกนี้ เบื่อตับ เบื่อไต เบื่อไส้ เบื่อพุง เบื่อน้ำเลือดน้ำเหลือง เบื่อเนื้อเบื่อหนังเบื่อกระดูก เบื่อเส้นเบื่อเอ็น นี่เข้าไปดูอย่ามัวแต่พากันเดิน แล้วก็นั่งดูเอาบ้างซิเนี่ยะ อย่ามัวแต่พากันไปเข้ากรรมฐาน เข้าอยู่ตรงไหนกรรมฐาน แล้วตัวกรรมฐานจริง ๆ ทำไมไม่เข้าไป เข้าไปดูซิว่าถ้ำนี่มันมีอะไรที่ว่ามันเป็นอนิจจัง ความแก่ ความเจ็บ ความตาย ที่ว่าเป็นอนิจจัง ใครเป็นอนิจจังล่ะ ก็พวกกรรมฐานนี่เป็นอนิจจังไม่ใช่หรือ หรือว่าอะไรเป็นอนิจจัง พากันได้แต่บ่นพากันได้แต่ว่า อนิจจังอย่างนั่น อนิจจังอย่างนี่ ทีนี้เวลามันเป็นอนิจจังจริง ๆ รู้มั๊ยมันแก่มาถึงขนาดนี่หัวหงอกแล้วเห็นมั๊ย มันหงอกไปหมดแล้ว ขาล่ะ พยาธิ แล้วมันเจ็บล่ะเห็นมั๊ย ยังเหลืออันเดียวนะคือลมหายใจยังดีอยู่ นี่มันไปแล้วนะอนิจจัง
อะไรเป็นอนิจจังก็กรรมฐานล่ะเป็นอนิจจัง แล้วก็ให้เข้าไปดูกรรมฐาน เข้าไปดูความเป็นอนิจจังนี่ล่ะ ทั้งที่เป็นของปฏิกูล ของปฏิกูลนี่ละเรียกว่าเป็นอนิจจัง เข้าไปดูกันบ้าง ดีแต่พากันไป ไม่รู้ว่ามันจะไปไหน ไม่รู้ว่าสวรรค์อยู่ที่ไหน ไม่รู้ว่าพระนิพพานอยู่ที่ไหนไปกันตะพึดตะพือ ทั้งที่มันอยู่กับตัวเอง ไม่มีใครสนใจเลย มีแต่ไป มีแต่เดินหาไม่รู้ว่ามันจะเดินไปไหน ยังไม่รู้ว่าจะไปเจอที่ไหนว่าไปเจอถ้ำนั่นละ โอ้ถ้ำนี่ดีไปเอาถ้ำนี่ดี พอไปเจอป่า ก็ว่าโอ้ป่านี่ดี มันก็ดีที่ป่า ถ้ำมันก็ดีซิถ้ำเพราะมันไม่ได้ด่าใครเพราะมันไม่ได้ว่าใคร มันก็เลยไม่ได้เดือดร้อนวุ่นวายอะไรกับใคร ตัวเองนั่นซิเวลาไปเจอถ้ำดี เอาความดีในถ้ำมาได้หรือเปล่า เวลาไปเจอป่าดีแล้วเอาความดีในป่ามาหรือเปล่า ไม่มีใครเอามาได้สักคน ไม่มี มีแต่มาอ้างว่าป่านั้นเป็นยังงั้น ถ้ำนั้นเป็นยังงั้น อ้างยังงี้ ดียังงั้น แล้วตัวเองล่ะ พอเลิกจากนี้ดูซิเนี่ยะ เสียงมันจะเกรียวกราวเท่าไหร่ นี้มันสงบภายนอก ไอ้สงบภายในนี่หละสันติภายในนี่หละ ยังมีใครได้บ้าง ก็กลัวแต่จะไปเห็น เห็นก็กลัวมันจะเสียหาย ทีนี้ตัวเองเลยไม่ได้อะไรเลย ไอ้ความสงบก็เลยไม่มี แทนที่ตัวเองใฝ่หาความสงบ แทนที่จะเอาความสงบนั้นมา เปล่าไม่ได้เอามา ป่าก็อยู่ในป่าโน้นแหละ ถ้ำก็อยู่ในภูเขา ก็ว่าแต่มันดี ทั้งที่ตัวเองว่าจะไปเอาดีในถ้ำ ทั้งที่ว่าตัวเองจะไปเอาดีในป่า ผลสุดท้ายไม่ได้อะไรเลย นั่นอันนั้นมันเป็นข้างนอก ทีนี้เราเอาข้างใน ข้างในอยู่ตรงไหนทีนี่ เรานั่งอยู่เดี๋ยวนี้เห็นมั๊ยมีทุกคน หญิงก็ตาม ชายก็ตาม พระสงฆ์องค์เจ้าก็ตาม มีแล้วถ้ำนี้ เรียกว่าถ้ำกลาง ถ้ำกลางหัวใจหรือว่าถ้ำพระคูหา ในธรรมะท่านว่าถ้ำพระคูหา เราถือว่าถ้ำกลาง เข้าไปอยู่ที่ถ้ำกลางหน้าอกนี่ ถ้ำนี่มันมีทุกอย่าง มีตับ มีไต มีไส้ มีพุง มีกระดูกมีเส้นมีเอ็นมีน้ำเลือดน้ำเหลือง มันมีครบทุกอย่างเข้าไปดู นั่นละเข้ากรรมฐาน ให้เข้าไปในถ้ำนี่ ถ้ำนี่ละที่ได้นำเอาปุพเพ กะตะปุญญะตา ปุพเพ กะตะปุญญะตาก็อยู่ในถ้ำนี้ล่ะ เอาเข้าไปดูคนไหนที่ดูได้ก็ดูไปเข้าไปดู อย่าไปสนใจกับของภายนอกให้มากนักให้สนใจตัวเองกันเสียบ้าง สมกับว่าพวกเราพากันมา มานี่ก็มาอะไรมางานบูรพาจารย์ ก่อนที่จะเป็นบูรพาจารย์ท่านเป็นไง ท่านก็มรณภาพ ก็เพราะมีมรณภาพจึงได้เป็นบูรพาจารย์ แล้วเราจึงได้พากันมา มาเพื่ออะไร มาดูบูรพาจารย์ บูรพาจารย์คือตาย คือมาดูตาย เพราะท่านตายไปก่อนแล้วเราก็จะตามไปทีหลัง ทีนี้หลวงพ่อเราอีก บูรพาจารย์หลวงพ่อเราที่เสียไปไว ๆ นี้ กำลังจะทำอะไรบรรจุ บรรจุอัฐิของท่านเอาไว้ ก็คือหลวงพ่อพุธเรา ที่ท่านทำเอาไว้ ท่านก็เลยกลายมาเป็นบูรพาจารย์ ก่อนที่จะมีบูรพาจารย์นั่นน่ะก็เพราะมีตายนี่แหละ ท่านเหล่านั้นตายไปแล้วก็เหลือแต่นามเหลือแต่ความดีที่ท่านฝากเอาไว้ ทีนี้เราก็มาในนามวันบูรพาจารย์ ก่อนจะมีบูรพาจารย์คือตาย ทีนี้ความตายจะมีแต่เฉพาะท่านหรือ มันไม่ใช่ มีเท่าไรหมดเต็มศาลานี่ล่ะต่อไปข้างหน้าหมด ของใหม่มันก็มาแทนสันตติสืบเนื่องกันไว้ ทีนี้เราล่ะ เราก็ต้องเป็นเช่นเดียวกัน ทีนี้เราทำใจของเราให้สงบลงเข้าไปดูซิว่า มันจะมีอะไรแล้วมันจะเป็นอะไร ให้มันตายก่อนที่ยังไม่ตาย คือให้มันสงบนำความสงบนั้นเข้าไปสู่ดวงจิตดวงใจของตัวเองนั่นล่ะคือตัวธรรมะ แล้วจะได้เป็นปุพเพ กะตะปุญญะตา ก็จะได้เป็นบุญนั่นล่ะนำไปข้างหน้า ก็จะตามเราไปข้างหน้าถ้าเรายังมีการเกิดอยู่ พวกนี้แหละจะได้ตามเราไป ให้เราพากันเข้าใจบ้างซิ ทีนี้เราก็พากันมาทำพิจารณาธรรม ผลจะเกิดขึ้นยังไง ผลนั้นคืออะไร สิ่งที่เราจะได้คืออะไร อันนี้เราก็ลองทำความเข้าใจหน่อย สิ่งที่เราจะควรได้ก็คือปุพเพ กะตะปุญญะตา ก็คือบุญนอกจากบุญแล้วเราจะมาเอาอะไร เราพากันมาเอาอะไร มาเอาบุญมิใช่หรือ ถ้ามาเอาบุญก็ตั้งใจเอาบุญ ตั้งลงตรงไหนล่ะ ก็ตั้งลงท่ามกลางนั่นล่ะ ท่ามกลางหน้าอกนั่นแหละ ท่ามกลางหน้าอกมันอยู่ตรงไหนล่ะ ของเรามีมั๊ย อย่าเอาไปวางไว้ที่แข้งที่ขาที่มือที่เท้า เอาไปวางไว้ที่ท่ามกลางหน้าอกนั่น อย่าไปสนอะไร เรื่องของอนิจจังมันแน่นอนแล้ว เรื่องเกิดเรื่องแก่เรื่องเจ็บเรื่องตายเป็นของแน่นอนหนีไม่พ้น เราจะหนีอย่างไรไม่มีทางพ้น หาที่พึ่งเอาไว้ก่อนคือความสงบ เอาความสงบนี่แหละมันแน่นอนซะก่อนสิ อย่าไปกลัวความสงบสิ อย่าไปกลัวความเห็นสิ สิ่งที่มันเห็นในความสงบจะไปกลัวอะไรกับมัน ก็มันไม่ใช่ของที่จะมาทำลายเรา ไม่ใช่ของที่เสียหายก็ทำใจของเรานั่นสิ ดูให้มันชัดสิ แล้วไปกลัวมันทำไม ถ้ากลัวแล้วไปหามันทำไม มันเรื่องของบุญตัวเองมันเกิดขึ้นมาให้เห็น แล้วมันก็มีเรื่องของบาปตัวเองที่เกิดขึ้นมาให้เห็น มันก็เป็นทั้งบุญทั้งบาปมันก็อยู่ในนั้น ตามเข้าไปสิ ตามหัวใจเข้าไปสิ ส่งใจของเราเข้าไป โอปะนะยิโก น้อมเข้าไป เอหิปัสสิโก เรียกเข้ามาดู โอปะนะยิโกไม่ใช่ปล่อยให้มันไป เอหิปัสสิโก ไม่ใช่มาไล่ให้มันไป เรียกมันเข้ามา เข้ามาในหัวใจตัวเอง เข้ามาข้างในเรียกเข้ามาเป็นมั๊ย สวดไปทำไม ปัจจัตตัง มันก็รู้เฉพาะตนมิใช่หรือ หรือว่าไงเรามันไปรู้แต่ตัวคนอื่น ไปถามแต่คนอื่น ที่จะรู้เฉพาะตนมันไม่มี องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์สอนแล้ว พอสอนแล้วผู้ฟังนั้นก็รู้เฉพาะตน ทำตนของตนให้มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ ทำสมาธิให้มันเกิดขึ้นกับตัวของตัวเอง แล้วก็ให้เรียกมันคืนมา ให้เข้ามาอยู่ที่ตรงนี้และให้เข้ามาในถ้ำนี้ แล้วมันจะเป็นยังไงในตัวมันจะเป็นยังไง ทีนี้เราไม่ได้เรียกมาเลย มีแต่ปล่อยไม่รู้จะว่ายังไงน่าสังเวชตัวเองมั๊ยล่ะ ความแก่มันมาถึงแล้วเห็นมั๊ย หงอกแล้วใช่มั๊ยหัว ขาก็เจ็บ หลังก็ปวด สารพัดมันจะเป็น อนิจจังมันมาแล้วใช่มั๊ย รู้หรือเปล่าเรื่องอนิจจังนี้ไม่ได้บอกมันหรอก มันมาของมันเอง เราจะสู้มันด้วยวิธีไหน ใครจะมาสู้อนิจจังได้ แม้แต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์ก็ยังสู้อนิจจังไม่ได้เลย พระองค์ก็หนีเฉย ๆ พระอริยเจ้าทั้งหลายก็สู้อนิจจังไม่ได้ ท่านก็หนีเฉย ๆ ไม่ใช่ว่าท่านมาสู้นะ ไม่ใช่ว่าท่านมาปราบอนิจจัง ไม่ใช่ว่าท่านจะมาทำลายอนิจจัง ทุกขัง อนัตตาให้หมดไปจากโลก ไม่ใช่ท่านหนี ท่านรู้แล้วท่านหนี แต่พวกเราทนเหลือเกิน ทนสู้กับพวกอนิจจัง เกิดมาที่ไหน เกิดมาทีไร จะเป็นชาติใดก็ตาม อนิจจังครองงำหมด ทำใจของเราให้สงบหนีจากความเป็นอนิจจังจะไม่ดีกว่าหรือ พวกเราชาวพุทธทั้งหลาย ทำใจให้มันสงบดูซิ เมื่อเราทำใจของเราให้เกิดความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิ บรรจุเอาซึ่งปุพเพ กะตะปุญญะตาแล้ว แล้วเราจะอุทิศปุพเพ กะตะปุญญะตาคือบุญของเราให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายมันก็ได้ แต่เพราะเรามันมีแล้ว ในเมื่อเรามันไม่มีในตัวเรานั่นสิ ทีนี้เราจะอุทิศแก่บรรดาสรรพสัตว์ผู้ที่ตกทุกข์ได้ยาก ลำบากตรากตรำที่มันตายไปแล้ว ที่เราจะอุทิศบรรดาผลบุญของเรา เอาบุญที่ไหนส่งไป มันยังไม่มีอะไรเลยมีแต่ใจเดือดร้อน ใจกระวนกระวาย พอเขาเห็นใจของเราอย่างนี้ เขาก็เลิกเขาก็ไม่มาใกล้ เราต้องทำใจของเรานั้นให้มีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิด้วยความเป็นพุทโธ พุทโธ ใครก็มาสอนแต่พุทโธ แต่เราไม่เห็นเอาพุทโธ ใจไม่เห็นเป็นพุทโธ ใจไม่เห็นสงบ ก็ให้มันสงบลองดูซิมันจะเป็นยังไง เอาให้มันสงบดูซิ ทีนี้หลวงพ่อเราไปอยู่ที่ไหนเดี๋ยวนี้ ท่านเป็นบูรพาจารย์เราไปแล้วเมื่อปีกลายนี้ แต่เดี๋ยวนี้ท่านอยู่ที่ไหน ท่านทำอะไรอยู่ ท่านมาดูพวกเรามั๊ย หรือว่าท่านหายไปแล้ว หรือว่าเป็นยังไง ที่ว่าท่านทำดีเรามีความเคารพนับถือในตัวท่านอยู่ตรงไหน
แล้วเมื่อเราแตกกายทำลายขันธ์ไปนี่น่ะ ท่านจะรอรับเราหรือเปล่า หรือท่านจะช่วยเราหรือเปล่า ลองดูซิ เข้าไปดูซิเห็นมั๊ย ทีนี้คอยแต่รอท่านจะมาช่วย ท่านจะมาช่วย ท่านจะมาอยู่ตรงไหนล่ะ ท่านมาแบบไหน แม้แต่ท่านบูรพาจารย์ทุกพระองค์ก็ตาม ที่ท่านจะมาช่วยเรามาแบบไหน คิดดูซิ แล้วก็คิดดูด้วย ท่านจะมาช่วยแบบไหน เราจะต้องช่วยตัวเอง ท่านก็ยังช่วยท่านเอง เวลาท่านแตกกายทำลายขันธ์ท่านก็ไปของท่าน ท่านช่วยตัวเอง กำหนดเข้าไปน่ะ แล้วก็อย่าไปกังวลอะไรกับของภายนอก แล้วเราทำมามันเท่าไหร่ มันมีแต่ความวุ่นวาย แล้วความสงบสุขล่ะมันอยู่ตรงไหน ที่พวกเราพากันทำมา มันไม่มี มันมีแต่ความวุ่นวายทีนี้ความวุ่นวายมันอยู่ตรงไหนล่ะ ทีนี้หาต้นของความวุ่นวาย หาต้นของความฟุ้งซ่านซิ ความวุ่นวายมันอยู่ตรงไหน ความฟุ้งซ่านมันอยู่ตรงไหน เอ้าความสงบมันก็อยู่ตรงนั้น เมื่อมันสงบลงแล้วความฟุ้งซ่านมันก็หายไปเอง ความวุ่นวายมันก็หาย มันก็อยู่ที่เดียวกันไม่ใช่หรือ หรือว่าความวุ่นวายมันอยู่ตรงนี้ ความฟุ้งซ่านมันอยู่ตรงนั้น ความสงบมันอยู่ตรงโน้น มันเป็นอย่างงั้นหรือ มันอยู่ที่ใจอันเดียว แล้วจึงอยากให้เราท่านทั้งหลายชาวพุทธให้มาหาหัวใจตัวเอง แล้วก็ให้รู้ใจตัวเอง แล้วให้เห็นใจตัวเอง แล้วก็โอปะนะยิโก น้อมใจตัวเองเข้าไปหาความสงบ เอหิปัสสิโก ก็เรียกมาให้มันสงบ อย่าปล่อย เราปล่อยมาจนพอแล้ว เข้าไปดูว่ามันมายังไง มันมากับใครแล้วมันจะไปไหน ตอนนี้รู้แล้วว่ามันอยู่กับมนุษย์ เมื่อมันออกจากมนุษย์ไปแล้วมันจะไปกับใคร เข้าไปดู ให้มันแน่นอน เอาใจของเราให้สงบลองดูซิ อย่าไปมัวอะไรที่อื่นซิ เอาให้มันสงบให้มันได้ ไอ้เรื่องของความสำเร็จ ไอ้เราก็อย่าพึ่งเถอะ เอาแค่สงบเป็นบุญเป็นกุศลซะก่อน เอาใจของเรารับรองบุญรับรองกุศลซะก่อน ขอให้บุญกุศลเกิดขึ้นจากจิตจากใจของเราซะก่อน เราเอาเพียงแค่นี้แต่ความสำเร็จนั่นเอาไว้เมื่อภายหลัง ขอให้ใจของเราบรรดาท่านทั้งหลายให้มีความสงบ ถ้าหากสงบแล้วมันก็เบาตงเบาตัวเบากายเบาใจโล่งอกโล่งใจ สมองอะไรมันโล่งไปหมด นั่งเท่าไหร่มันก็นั่งได้ ไอ้เรื่องการเจ็บแข้งเจ็บขามันก็ไม่มีเพราะมันเบา ทีนี้เมื่อมันไม่สงบทำยังไงมันก็ลำบาก เอาใจให้มันสงบ สงบด้วยพุทโธ อะไรเราก็ฟังมา ฟังเทศน์ไม่รู้กี่กัณฑ์มาแล้ว ไม่ใช่เฉพาะแต่ปีนี้ ปีนี้ก็หลายครั้งแล้ว ปีก่อนที่ผ่านมานั่นน่ะ เราก็ฟังมาแล้ว แต่ใครได้อะไร แม้แต่การปฏิบัติของตัวเองเท่านั้นเรายังทำไม่ได้ ไปนั่งภาวนาคนเดียวก็ขี้เกียจ นั่งแป๊ปเดียวก็ง่วงเหงาหาวนอน ก็นอนซะ นอนตื่นขึ้นมาก็ขี้เกียจอีก ก็นอนต่อไปอีก แล้วเราจะเอาอะไรไปปฏิบัติที่ไหน เอามันตรงนี้ เอามันเดี๋ยวนี้ ร้อนก็ช่างหัวมัน หนาวก็ช่างหัวมัน ขอให้ใจสงบอย่างเดียวก็พอ อย่าเพิ่งทำใจของตัวเองให้วุ่นวายกับโลก โลกนะมันวุ่นวาย องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าสอนเอาไว้ “นัตถิ มาฆะ เมวะ ปูหะยะ” สูจงปูทางแห่งความสงบ คำว่าสูคือพวกเราทั้งหลายที่นั่งอยู่นี่ จงปูทางแห่งความสงบ ปูแบบไหน จะไปเอาดินหรือ ไปเอาแทรคเตอร์หรือ ไปเอาแมคโครหรือ มาทำดินให้เป็นถนนให้เป็นหนทางเหรอไม่ใช่ พระองค์บอกว่าให้ทำใจของตัวเองให้สงบ ทำไมถึงให้สงบ “นัตถิ สันติปรัง สุขัง” สุขอื่นนอกจากความสงบไม่มี พระพุทธเจ้าก็ว่าอย่างนี้ เราจะเชื่อมั๊ย หรือจะมาเชื่อแต่บุญอย่างเดียว อันใจของตัวเองที่จะมีความสงบและเราจะทำใจของเราให้เข้าไปสู่ทางแห่งความสงบนั้น เราจะทำไม่ได้นั้นหรือ พระพุทธเจ้าต้องการอย่างนั้น ที่ต้องการอย่างนั้นก็เพราะอะไร เพราะต้องการอยากให้พุทธบริษัท ต้องการอยากให้มีอยากให้สุขเกิดขึ้นจากผู้ปฏิบัตินั้น ถ้ามิเช่นนั้นจะเสียเวลาแห่งชีวิตที่เกิดมาซึ่งมันหมดไปเปล่า ๆ ตามกาลตามเวลา ท่านต้องการอย่างนั้นหรือ ทีนี้บางคนบอกว่ายังไม่ต้องการความสงบหาว่าความสงบมันไม่ดี หาว่าไปติดสงบก็มี หาว่าไปติดสุขก็มี คล้ายกับว่าความสงบน่ะเป็นของเลวร้าย คล้ายกับว่าความสงบความสุขน่ะเป็นของไม่ดี อย่างนี้มันก็ว่า ทีนี้เราหาอะไร “นัตถิ สันติปรัง สุขัง” พระพุทธเจ้าท่านก็ว่าไปแล้ว ก็ใจมันสงบแล้วมันก็อยู่กับใจ จะให้มันไปอยู่ไหน สุขให้อยู่ที่หนึ่ง ใจให้อยู่ที่หนึ่ง ที่ไหน มันมีที่ไหนมันเป็นไปได้ ทีนี้มันไม่ได้คิดเลย เห็นเขาว่าเราก็ว่ากันต่อ ทั้ง ๆ ที่ว่าเราก็ยังไม่เคยมี ทั้งที่เราก็ยังไม่เคยเห็น ตกลงก็เลยปล่อยทิ้งไปเฉย ๆ แล้วสิ่งที่จะเป็นสาระประโยชน์ต่อชีวิตจิตใจของตัวเองก็หาได้รู้ไม่ตกลงก็เลยตายไปเสียเปล่า การตายไปในลักษณะนี้ไม่รู้ว่ากี่รุ่นแล้ว มันก็ตายกันไปอย่างนี้ แล้วเราก็จะตายกันไปอีก ดังนั้นแหละทำยังไงล่ะ ทีนี้จะทำให้หัวใจของเรามีความสงบตั้งมั่นเป็นสมาธิก็ให้พากันทำ แล้วการเดินจงกรมก็เดินตรงนี้ล่ะ ตั้งแต่ปลายจมูกเข้าไปทางท้อง หาปอด ออกจากปอดมาปลายจมูก รู้อยู่นี้คำว่า เดิน ให้รู้อยู่แค่นี้ คือเป็นกับตายมันอยู่ตรงนี้ มันจะรู้ตรงนี้ แล้วจะสงบหรือไม่สงบมันอยู่ตรงนี้ เราจะได้รู้มันตรงนี้สิ ทีนี้เราไปเอาแต่อย่างอื่น ธรรมะก็ไม่รู้มันอยู่ตรงไหน ก็ไปหาอยู่ในป่าในเขา ก็ไม่เห็นว่าได้อะไรมา แท้ที่จริงธรรมะมันอยู่กับตัวของเราอยู่ที่หัวใจของเราท่านทั้งหลาย ให้ท่านทั้งหลายจงรักษาหัวใจตัวเอง เพราะเรานั้นก็คงจะอยู่ไม่นานหรอกแต่ละคนก็คงไม่ถึง 100 ปีหรอก อนิจจังมันมาเอาหมด มันมาเก็บเอาหมด แม้แต่หลวงพ่อเราหรือบรรพบุรุษหรือบูรพาจารย์ดีขนาดไหน ก็หาได้พ้นจากความเป็นอนิจจังไม่ ท่านก็ไปของท่านแต่ว่าท่านก็ยังมีส่วนดีกว่าเราเพราะท่านได้ปฏิบัติในทางจิตทางใจของท่านได้ดีแล้ว แต่ว่าท่านจะไปอยู่ตรงไหนเราพากันดูเอา ว่าท่านดีแค่ไหนและท่านได้อย่างไร ท่านได้แล้วท่านไปอยู่ตรงไหนและความสุขของท่านเป็นอย่างไร ที่ว่าท่านได้แล้วที่ว่าเป็นครูเป็นอาจารย์เรา
ปัญหามันอยู่ตรงนี้ล่ะเราทั้งหลาย ในขณะนี้ล่ะบ้านเมืองเรากำลังวุ่น โลกกำลังวุ่นวายมิใช่เฉพาะแต่บ้านเราโลกกำลังวุ่นวาย เราจะเป็นไปอย่างไรในกาลข้างหน้าก็ให้รีบพากันหาความสงบเอาไว้เป็นที่พึ่งแก่ตนเอง คือหาบุญหากุศลเอาไว้เป็นสมบัติของตัวเองสำหรับที่จะไปข้างหน้าแล้วมันก็ยิ่งจะเป็นประโยชน์แก่เราในเมื่อที่เราแตกกายทำลายขันธ์ ตายน่ะมันตายแน่มันไม่มีใครเหลือมันไม่มีใครอยู่ จะมีอุดมสมบูรณ์ข้าวของเงินทองอะไรก็ตามไม่มีใครเหลือ อย่าคิดว่าตัวเองจะเป็นผู้วิเศษ วิเศษชนะความตาย มันเป็นไปไม่ได้ ถือว่าตายแน่ เราบอกว่าตายแน่ ภาวนาลงไปตายแล้วเราจะพึ่งใครนอกจากพุทโธ ธัมโม สังโฆ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ รวมเข้ามาเป็นพุทโธองค์เดียว เอาเลย ตายในพระพุทธ ตายในพระธรรม ตายในพระสงฆ์ ต้องเอากันอย่างนี้สิจึงถือว่าเป็นนักปฏิบัติ เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ว่าเราจะมาเล่นมาสนุกสนาน หรือว่ามาเฉพาะแต่วันบูรพาจารย์อย่างเดียวนะแต่อาศัยวันบูรพาจารย์เป็นผู้เหนี่ยวรั้งให้เรามา แต่เมื่อมาแล้วเราจะหอบเอาอะไรเราก็ต้องรีบหอบ จะเอาอะไรไปเราก็ต้องเอานะ นอกจากบุญกุศลเราก็ไม่มีอะไรจะเอา
เรามาในงานวันบูรพาจารย์แต่ว่าเราจะมาเอาบุญในวันบูรพาจารย์นั้น ทำยังไงเราถึงจะได้บุญ ทำยังไงถึงจะได้เป็นปุพเพ กะตะปุญญะตาสะสมบุญเก่า ใครล่ะเป็นผู้ได้มาก่อนปุพเพ กะตะปุญญะตา องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้ามิใช่หรือ พระองค์สร้างบารมีมาเท่าไหร่ ใครรู้ประวัติของพระพุทธเจ้าบ้าง เข้าใจว่าท่านทั้งหลายก็คงรู้นะ แต่ละชาติเอากันเพียง 10 ชาตินี้ก่อน แต่ละชาติ ๆ พระองค์สร้างอะไรมา สร้างปุพเพ กะตะปุญญะตามิใช่หรือ ชื่อว่าบารมี จะบุญเก่าของพระองค์ ผลสุดท้ายก็มาเป็นเวสสันดรชาดก พระองค์ทรงสร้างทานบารมี แล้วสวรรคตจากนั้นก็ไปสู่สุคติ แล้วก็ลงมาตรัสรู้ในมนุษยโลกได้ 2000 กว่าปีมานี้ ไม่ใช่ปุพเพ กะตะปุญญะตาหรือตามสนองพระองค์ ตามส่งพระองค์ ซึ่งเราเรียกว่าบารมี ทีนี้พระอริยทั้งหลายก็เช่นเดียวกัน ก็มีบารมีมาก็ได้สร้างมาด้วยกัน พอมาได้ฟังธรรมเท่านั้นแหละสำเร็จไป ๆ
ทีนี้เราจะสร้างบุญสร้างกุศลของเราต้องตั้งใจ น้อมรับเอาซึ่งบุญกุศลอันที่ตนเองได้พากันมาแล้วในวันนี้ ในวันบูรพาจารย์ บุญนี้เป็นบุญที่เกิดขึ้นจากบูรพาจารย์ที่ท่านได้ล่วงไป เราก็พากันมา ปฏิบัติแล้วก็ได้มาฟังธรรมแต่เรื่องสำเร็จหรือไม่สำเร็จอันนั้น มันเป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ขอให้สำเร็จด้วยความสงบ ขอให้มีความสงบติดตัวของตัวเองบ้าง เอาสำเร็จเพียงแค่นี้แหละหรือว่าสำเร็จด้วยบุญสำเร็จด้วยการฟัง ฟังให้มันเป็นบุญเป็นกุศลนี่ล่ะสำเร็จด้วยการฟังพอเป็นบุญ แต่ว่าจะให้สำเร็จเป็นพระอริยเจ้าเป็นพระขีณาสพเป็นพระอรหันต์อันนั้นเอาไว้ก่อน เราอย่าพึ่ง เอาแค่สำเร็จด้วยความเป็นบุญเป็นกุศล เท่านั้นละต่อไปในอนาคตปัจจุบันนี่ล่ะ ถ้าหากว่าบุญบารมีของพวกเราสมัยซึ่งทำให้ถูกต้องอาจจะก้าวล่วงเข้าไปหาความสงบอันแท้จริงได้และธรรมะอาจจะบังเกิดขึ้นแก่ท่านในปัจจุบันชาติก็ได้ มันเป็นของไม่แน่ เพราะมันเป็นของที่มีอยู่ภายในหัวใจ เรายังทำไม่ถูกเรายังทำไม่ถึง บางทีศรัทธามันเกิดหรือธรรมะบันดาลขึ้นมาทำให้เราได้และใครจะไปรู้ล่ะ นั้นนะมันเกิดขึ้นของมันเองโดยไม่รู้ตัว แม้แต่ครูบาอาจารย์ท่านก็ว่าท่านก็ไม่คิดว่าเราจะได้อย่างนั้นได้อย่างนี้มาก่อน ท่านก็ทำมาเหมือนอย่างเรา ทำไปทำมามันก็ดีขึ้นไป ๆ เราก็ต้องคิดอย่างนั้นนะ นี่เรียกว่าการปฏิบัติเพื่อยังประโยชน์นั้นให้บังเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เมื่อเราได้ทำประโยชน์ให้เกิดขึ้นแก่เราแล้ว เราจึงอุทิศบรรดาผลบุญอันตัวเองได้ทำแล้วให้แก่บรรดาสรรพสัตว์ทั้งหลายผู้ที่ล่วงลับดับไปสู่ปรโลก ที่เขายังตกทุกข์ได้ยากซึ่งเขาไม่มีโอกาสที่จะร่วมบุญร่วมกุศลกับเราเลย เขาก็อนุโมทนากับเราอยู่นี้แหละ เขาก็อยู่รอบ ๆ แต่เราก็ไม่เห็น เพราะเขาไม่มีร่างกายเขามีแต่วิญญาณ เมื่อเราทำได้แล้วก็อุทิศให้เขา แม้แต่เป็นญาติก็ตามไม่เป็นญาติก็ตาม จะเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายก็ตาม ไม่เป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายก็ตาม อุทิศไปเรียกว่าให้ทั่วโลกหรือจักรวาล เราให้เขาแล้วเขาก็จะได้อนุโมทนาสาธุการ แม้กระทั่งถึงเทพเจ้าเหล่าเทวดาทั้งหลาย ซึ่งเขาจะมาดูเราเวลาเรานั่งภาวนาและฟังธรรมแต่เขาก็ไม่ได้มาอยู่ใกล้หรอก ตาเขามีอยู่รอบด้าน เขามองได้ไกล เขาก็มองมาเห็นหมด เมื่อเขามองมาเห็นหมดเขาก็ชื่นชมยินดีแล้วอนุโมทนาคอยที่จะต้อนรับเราเหมือนกัน ในเมื่อเราแตกดับไปสู่ปรโลกบุญกุศลของเราซึ่งเราได้กระทำไว้แล้วนั้นพอที่จะเป็นเทวดาได้อย่างเขา เขาก็มาเขาก็รับรองเราแล้วก็ไปสู่ปราสาทอันเป็นที่อยู่ของเทวดา เราก็รู้แต่ว่าปราสาท ปราสาทเป็นยังไงก็ไม่รู้นะ เพราะฉะนั้นล่ะท่านทั้งหลายที่ได้พากันกระทำและที่ได้ฟังวันนี้แหละ จึงได้ถือโอกาสมาแสดงให้วันนี้ ก็พอที่จะเป็นเครื่องเตือนสติพุทธบริษัททั้งหลาย ก็เทศน์มามากพอสมควรและเราก็ได้ฟังมามากพอสมควร ถ้าหากว่าท่านทั้งหลายได้ยินได้ฟังไปแล้วแล้วก็นำไปใคร่ครวญพินิจพิจารณาและให้ทำความเข้าใจและให้รู้แจ้งเห็นจริงโดยประการใด เราขอให้ท่านทั้งหลายจงไปประพฤติปฏิบัติด้วยกาย วาจา จิตของตัวเอง ขออานิสงส์แห่งการปฏิบัตินั้นจงบังเกิดขึ้นแก่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ดังที่ได้แสดงมาพอสมควรแก่กาลเวลา จึงขอยุติเอาไว้แต่เพียงเท่านี้
|