Thursday, 07 October 2010 13:06 |
แสดงธรรม โดย หลวงพ่อพุธ ฐานิโย
เรามาศึกษาธรรมะและหาฟังธรรมะด้วยของจริง เราต่างคนต่างเที่ยวแสวงหาธรรมะตามสถานที่ต่างๆ และจากครูบาอาจารย์ต่างๆ แต่ละท่านๆ ก็แบกเอาธรรมะไปเที่ยวแลกเอาธรรมะของครูบาอาจารย์ แต่ไม่ทราบว่าเราจะได้ของท่านมาหรือเปล่า ถ้าหากว่าเราจะคิดว่าธรรมะของเราก็มี ไม่มีเฉพาะของครูบาอาจารย์เท่านั้น ถ้าเราเข้าใจกันเสียอย่างนี้ การหาธรรมะเป็นของไม่ยากนัก เมื่อพูดถึงว่า “ธรรมะคืออะไร” เราก็ได้คำตอบว่า “ธรรมะคือกายกับใจ” แต่นักศึกษาแผนใหม่ ธรรมะคือกายกับใจ พูดกับใครๆเข้า เขาจะหัวเราะ แต่เราในฐานะที่เป็นลูกศิษย์ครูบาอาจารย์หลวงพ่ออ่อน ท่านเทศน์ที่วัดป่าสาลวันนานมาแล้ว ท่านบอกว่าทุกๆ คนมีธรรมะคนละก้อนๆ ท่านพูดเป็นภาษาเมืองโคราชว่า ใครเอาก้อนธรรมมาตั้งโต่งโหม่ง เต่งเหม่ง มาฟังเทศน์อยู่แถวนี้ ผู้บรรยายก็เลยจำเอาคำพูดของท่านมาพูด ฉะนั้น การศึกษาธรรมะนี้ไม่มีอะไรดีกว่าการศึกษาสภาพความเป็นจริงของกายและใจ ว่ากายกับใจของเรามีลักษณะอย่างไรและมีสภาพเป็นไปอย่างไร และความเป็นอยู่ของกายและใจนั้นเป็นอยู่กันอย่างไร สิ่งเหล่านี้ ถ้าเราตั้งใจศึกษาให้รู้ให้เข้าใจแล้ว เราก็จะรู้จุดสำคัญของการเป็นมนุษย์ มนุษย์ทั้งหลายมีกายกับใจเป็นธรรมะ เอาใจมาพิจารณาให้รู้ความจริงของกาย ความจริงของกายนั้น ที่เรามองเห็นได้ง่ายๆ ต้องรับประทานอาหาร ต้องนุ่งห่ม มีบ้านที่อยู่อาศัย เวลาเจ็บไข้มียารักษา สิ่งเหล่านี้เรียกว่า ปัจจัย 4 ปัจจัย 4 เป็นเครื่องจุนเจือหรือบำรุงชีวิตมนุษย์ทั้งหลาย ทีนี้มนุษย์ทั้งหลายจะได้สิ่งเหล่านั้นมาสำหรับอุปโภคบริโภคจะทำอย่างไร ถ้าไปลักขโมยเอาก็ผิดศีลข้อ “อทินนาทาน” แน่ เป็นศีลขึ้นมาแล้ว ทีนี้ถ้าจะไปฆ่าไปปล้นไปจี้เขาก็ผิดศีลข้อ “ปาณาติบาต” และ “อทินนาทาน” ด้วย รักใครชอบใครไปฉุดคร่าก็ผิดศีลข้อ “กาเมสุมิจฉาจาร” ล่วงเกินสิทธิเสรีภาพของเขา ทีนี้ถ้าหากว่าเรามองถึงความจำเป็นของความเป็นมนุษย์ว่าเราจะต้องมีเครื่องอุปโภคบริโภค เรามีความมั่นใจว่าเรามีสิ่งหนึ่งที่คนอื่นเขาต้องการคือ “เงิน” เราอยากได้อาหารมารับประทาน เราไปซื้อเขาเอามารับประทาน ไม่ลักไม่ขโมย มันก็เป็นศีลขึ้นมาแล้ว ถ้าเราอยากได้ ไม่ฆ่าไม่เบียดเบียน มันก็เป็นศีลข้อ “ปาณาติบาต” ทีนี้ศีลก็ดี ธรรมก็ดี เราก็อาศัยกายกับใจเป็นเครื่องประพฤติปฏิบัติ ถ้าหากว่าเราไม่มีกายหรือใจ เราทำอะไรไม่สำเร็จ
มาในสมัยปัจจุบันนี้ ลัทธิพระพรหมกำลังระบาด ลัทธิพระพรหมเป็นของศาสนาพราหมณ์ พราหมณ์เขาถือว่าพรหมเป็นผู้วิเศษ เป็นผู้ยิ่งใหญ่ พระพรหมในศาสนาพราหมณ์และพระเจ้าของศาสนาคริสต์คงแย่งกันสร้างโลก ก็เห็นจะเป็นเพราะการแย่งกันสร้างโลกนั้นเอง เอาแพ้เอาชนะกันนั่นเอง คนเราจึงเกิดมามีรูปพรรณสัณฐานไม่เหมือนกัน บ้างก็เตี้ยต่ำดำ บ้างก็ขาวสูงสวยสดงดงาม บ้างก็มีสติปัญญาเลว บ้างก็มีสติปัญญาเฉลียวฉลาด บ้างก็มีความยากจนข้นแค้น บ้างก็เป็นมหาเศรษฐี มีความไม่สม่ำเสมอกัน ก็เห็นจะเป็นเพราะการแย่งกันสร้างเพื่อให้สำเร็จ ให้ได้บริวารมากๆ ในลักษณะที่ผิดแผกแตกต่างกัน อันนี้เป็นความเข้าใจของแต่ละศาสนา
แต่พระพุทธเจ้าของเรานั้น ท่านไม่ว่าใครทั้งนั้นเป็นผู้สร้างโลก มนุษย์เรานี่แหละสุดวิเศษที่สุด ที่จะสร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้ พระพุทธเจ้าก็มนุษย์เป็นผู้สร้างขึ้น เจ้าชายสิทธัตถะก็เป็นมนุษย์สร้างพระพุทธเจ้าให้เกิดขึ้น พระอรหันต์ พระสาวกทั้งหลายก็เป็นมนุษย์สร้างพระอรหันต์ให้เกิดขึ้น เทวดา อินทร์ พรหมทั้งหลายก็เป็นมนุษย์เป็นผู้สร้าง ทำไมจึงว่ามนุษย์เป็นผู้สร้าง เราทั้งหลายพากันมาทำบุญสุนทาน รักษาศีล เจริญเมตตาภาวนา ถ้าหากวิถีจิตยังท่องเที่ยวอยู่ในกามาวจร อานิสงส์ของการทำบุญเหล่านั้นก็ยังผลให้ท่านไปเกิดเป็นเทวดาบนสวรรค์ 6 ชั้น อันนี้เป็นการทำบุญที่จิตยังท่องเที่ยวอยู่ในกามาวจรกุศล มนุษย์เป็นผู้ทำบุญจึงได้เกิดเป็นเทวดา และพรหมก็มนุษย์เป็นผู้สร้างอีก ทำไมจึงว่าพระพรหมมนุษย์เป็นผู้สร้าง มนุษย์แท้ๆ เป็นผู้สร้างพระพรหม เอ้า...ที่พูดอย่างนี้อาจจะสงสัยบ้าง ที่ว่ามนุษย์สร้างพระพรหมนั้นมีหลักฐานในทางปฏิบัติ ท่านผู้ใดก็ตามเมื่อเจริญความเพียรภาวนาก็เริ่มต้นด้วยอนุสติ หรือเพ่งกสิณ หรือเจริญตามอุบายกัมมัฎฐานอย่างใดอย่างหนึ่ง มาเป็นเครื่องบริกรรมภาวนา เป็นคู่ของใจ เมื่อทำใจให้สงบลงไป ประกอบด้วยองค์ฌาน วิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ถ้าจิตของท่านผู้นั้นดำรงอยู่ในองค์ฌานขั้นที่ 1 ตายในขณะนั้นก็ไปเกิดเป็นพระพรหม มนุษย์เป็นผู้สร้างพระพรหมอีกแล้ว ทีนี้ถ้ามนุษย์ผู้นั้นบำเพ็ญเพียรภาวนาต่อไป ยังวิตก วิจารให้หายไปยังเหลืออยู่แต่ปีติ สุข เกกัคคตา ถ้าตายในฌานขั้นนี้จะไปเกิดเป็นพรหมในขั้นที่ 2 เรียกว่า ทุติยฌาน ทีนี้ถ้าระงับปีติให้หายไป ยังเหลือแต่สุขกับเอกัคคตา ถ้าตายไปขณะนั้นก็เกิดเป็นพรหมขั้นที่ 3 เรียกว่า ตติยฌาน ถ้าหากว่าสามารถทำสุขให้หายไป ยังเหลืออยู่แต่เอกัคคตากับอุเบกขา บรรลุฌานขั้นที่ 4 ตายไปขณะนั้นก็ไปเกิดเป็นพรหมขั้นที่ 4 เรียกว่า จตุตถฌาน นี่เป็นหลักฐานว่ามนุษย์สร้างพระพรหม ทีนี้ในเมื่อพระพรหมตายในฌานนั้น มีดวงจิตอยู่ในฌาน ถ้าหากดวงจิตเคลื่อนจากฌานเมื่อใดก็จุติจากพระพรหม แล้วจะมีโอกาสมาสร้างมนุษย์ได้อย่างไร ฉะนั้น ให้ท่านสาธุชนทั้งหลายเข้าใจว่า มนุษย์นี่แหละสร้างทุกสิ่งทุกอย่างให้สำเร็จได้ ทีนี้ถ้าหากว่ามนุษย์ผู้นั้นบำเพ็ญเพียรภาวนาต่อไป ทำใจให้ว่าง เรียกว่า “อากาสานัญจายตนะ” กำหนดรู้วิญญาณและกำหนดดูวิญญาณให้ละเอียดยิ่งขึ้นไป เรียกว่า “วิญญาณัญจายตนะ” “อากิญจัญญายตนะ” “เนวสัญญานาสัญญายตน” ได้สำเร็จสมาบัติ ฌานสมาบัติที่ 8 เรียกว่าสำเร็จสมาบัติ 8 ทีนี้การเข้าฌานนั้น ถ้าหากว่าตายในฌานจึงจะไปเกิดในพรหมโลก เป็นพระพรหมที่จะจุติในอรูปฌาน “อากาสานัญจายตนะ วิญญาณัญจายตนะ อากิญจัญญายตนะ เนวสัญญานาสัญญายตน” ถ้าจุติขณะนั้นวิญญาณก็จะไปเกิดเป็นพระพรหมตามลำดับขั้น นี่คือหลักฐานที่มนุษย์เป็นผู้สร้างพระพรหม
ทีนี้ถ้าหากมนุษย์ทั้งหลายเหล่านั้นไปติดอยู่ในองค์ของฌาน ด้วยช่วงจังหวะที่พอจะน้อมจิตไปพิจารณาพระไตรลักษณ์ หรือพิจารณาอสุภกัมมัฏฐาน ดูผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กระดูก ให้เห็นเป็นของปฏิกูล น่าเกลียด โสโครก ไม่สวยไม่งาม เป็นการเปิดประตูด่านแรกเข้าไปมองดูพระธรรมวินัย ได้อสุภกัมมัฎฐาน 5 คือ พิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่สวยไม่งาม ล้วนแต่เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครกทั้งสิ้น น้อมจิตให้รู้ซึ้งเห็นจริงลงไป ยอมรับว่าเป็นสิ่งปฏิกูลน่าเกลียด แล้วก็ได้อสุภกัมมัฏฐาน บางทีก็ได้ฌานอยู่ในขั้นนี้ ทำจิตให้สำเร็จมรรคผล ตายไปก็เป็นพรหมอีก ทีนี้ถ้าผู้ใดสามารถพิจารณาร่างกายแยกออกเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ว่าร่างกายของมนุษย์ทั้งสิ้นนี้มีแต่ดิน น้ำ ลม ไฟเท่านั้น หาสัตว์ บุคคล ตัวตน เราเขา บ่มิได้ แต่ต้องอาศัยจิตและวิญญาณเข้ามาสิงสถิตโดยความเป็นเจ้าของ ยึดเอากิเลส ตัณหา มานะ ทิฐิ ว่าเป็นตัวเราเป็นของเรา เมื่อแยกออกไปรู้เห็นเป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟแล้ว เราจะถามปัญหาตัวเองว่า ดินนั้นหรือคือตัวเรา น้ำนั่นหรือคือตัวเรา ลมหรือคือเรา ไฟหรือคือเรา หามิได้ทั้งนั้น ล้วนแต่เป็นอนัตตาทั้งสิ้น เป็นธาตุ 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้ารู้เห็นอย่างนี้ จิตใจก็มีความรู้ซึ่งลงไปแล้วก็ยอมรับสภาพความเป็นจริง ถอนอุปาทาน ความยึดมั่นถือมั่น บางทีก็สำเร็จพระโสดา สกทาคามี อนาคามี อรหันต์ ตามขั้นตามภูมิบารมีที่มนุษย์เป็นผู้สร้าง พระพุทธเจ้าก็มนุษย์สร้างให้สำเร็จ เจ้าชายสิทธัตถะ พระอรหันต์ คือมนุษย์เราผู้สร้าง ท่านอัญญาโกณฑัญญะสร้างอรหันต์สำเร็จเป็นองค์แรก พวกเราซึ่งเป็นลูกศิษย์ของครูบาอาจารย์ วิถีทางการปฏิบัติธรรมะขั้นภูมิที่ครูบาอาจารย์ได้ชี้แจงแสดงมาเพื่อเป็นหลักปฏิบัติ ถ้าใครมีบุญบารมีก็บรรลุสมาบัติ หรือบรรลุคุณธรรม มีโสดาฯ สกทาฯ อนาคาฯ เป็นต้น ถ้าหากไม่บรรลุมรรคผลนิพพานขั้นอริยบุคคล ได้เพียงความเลื่อมใสในพระรัตนตรัยคือ พระพุทธ พระธรรม พระอริยสงฆ์ อย่างแน่วแน่ ก็ได้ชื่อว่าได้เพียงครึ่งของคน
ทีนี้ปัญหามีอยู่ว่า การปฏิบัติพระกัมมัฏฐานนั้นมีหลายแบบ บางทีเราก็สอนด้วยวิธีการไปลงอักขระที่กระหม่อมแล้วก็สวดญัตติลงไปให้ภาวนา เสกดวงธรรมเป็นอักขระขึ้นมา แล้วก็มีความรู้ความฉลาดขึ้นมา แต่ไม่เข้าท่าเป็นบ้าเป็นบอไปก็มี อันนั้นเป็นการภาวนาผิดทาง เลยทำให้ผู้ที่ไม่เคยภาวนาคิดอยากจะภาวนาเกิดความวิตกไปตามๆ กัน กลัวจะเป็นบ้า ว่ากันอย่างนั้น ที่ทำกัมมัฏฐานเป็นบ้านั้น เพราะเราทำไม่ถูกทาง ไปให้เขาลงอักขระสวดญัตติแบบไสยศาสตร์ ทีนี้พอภาวนาไปแล้วอาถรรพณ์ของไสยศาสตร์เข้ามาสิง บางทีก็เห็นนิมิตดวงธรรมเป็นตัวอักขระขึ้นมาเป็นแถวๆ บางทีก็มีวิญญาณเข้ามาทรงมาสิงมาแทรก แล้วก็ถือว่าตัวได้ดิบได้ดี สามารถติดต่อกับวิญญาณโลกอื่นได้ ความมั่วพากันไปหลงอยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น เมื่อพากันไปหลงแล้ว สติมันไม่ดีมันก็พากันเป็นบ้าเป็นบอไป แต่การภาวนาแบบของพระพุทธเจ้าไม่มีทางที่จะเป็นบ้า เช่นอย่างเรากำหนด “พุทโธ พุทโธ พุทโธ” แล้วก็กำหนดรู้ลงที่จิต เมื่อจิตของเราสงบลงไป มีวิตก วิจาร ปีติ สุข เอกัคคตา ในเมื่อวิถีจิตเดินถูกต้องตามหนทางแล้ว มีแต่จะทำให้มีสติสัมปชัญญะดีเด่นยิ่งขึ้น เมื่อจิตสงบลงไปแล้ว จิตใสสะอาด มีสติสัมปชัญญะรู้ตัวอยู่ตลอดเวลา แล้วมันจะมีทางเป็นบ้าเป็นบอได้อย่างไรถ้าเราทำถูกต้อง แต่ถ้าใครไปให้คนอื่นเขาสะกด เช่นอย่างว่าไปให้เขาบอกคาถาบริกรรมภาวนา “นะ มะ พะ ทะ” เป็นถาคาปลุกพระก็ดี พอสั่นๆๆ ขึ้นมา แล้วก็บอกว่าเวลานี้จิตของเจ้ามีความสงบสว่าง แล้วจงมองไปไกลๆ แล้วจะเห็นนรก เห็นสวรรค์ ลงไปเที่ยวนรก เที่ยวสวรรค์ ดูมโนภาพกัน ปัญหามีอยู่ว่านักภาวนาไปดูนรกดูสวรรค์ อันนี้เป็นปัญหาที่พุทธบริษัทพึงทำความเข้าใจ ผู้บรรยายมองแล้ว ถ้าใครรู้จักเคล็ด รู้จักวิธีการทำ เข้าใจวิธีทำ ทำนิดหน่อยเท่านั้น ขอยืนยันว่ามันเป็นเรื่องขี้ผง ญาติโยมทั้งหลายก็ทำได้ วิธีการไปดูนรกดูสวรรค์นี้ เราภาวนาพุทโธๆๆ แล้ว พระอาจารย์คอยกำกับอยู่สังเกตว่าลูกศิษย์หายใจเบาลง แล้วก็ส่อแสดงว่าดวงจิตกำลังเริ่มสงบแล้ว อาจารย์ก็บอกว่า บัดนี้เราจะให้เจ้าไปดูนรก ดูสวรรค์ มองไปข้างหน้าไกลๆ แล้วจะเห็นเทวดา ก็ตามเขาไปให้เขาพาไปดูสวรรค์ ทีนี้ผู้ที่ทำจิตให้สงบสว่างลงในอุปจารสมาธินี้ จิตมันอยู่ในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่น ใครออกคำสั่งออกไปแล้ว มันพร้อมที่จะปฏิบัติตาม เมื่อปฏิบัติตามแล้วเราจะสั่งให้ไปที่ไหนอย่างไรก็ได้ เพราะฉะนั้น มันเป็นเรื่องง่ายที่สุด ท่านทั้งหลายที่นั่งอยู่ ณ ที่นี่ ถ้าจะลองทำดูก็ได้ เอาดอกไม้มาสักดอกหนึ่ง เสกด้วยคาถาพระเจ้าเปิดโลก เป่าพรวดลงไปให้เด็กน้อยมันถือพนมมือเอาไว้ ถ้าจะให้มันไปสวรรค์ให้มันบริกรรมภาวนาว่า “สวรรค์ๆๆ” ทีนี้พอรู้สึกว่ามันสั่นๆ ขึ้นมาแล้ว ก็บอกว่าทำใจให้สว่างแล้วก็ไปดูสวรรค์ ทิศโน้น รูปร่างของสวรรค์เป็นอย่างนั้น รูปร่างอย่างนี้ ขณะที่จิตของคนเราอยู่ในลักษณะครึ่งหลับครึ่งตื่น ในใจก็เกิดมโนภาพขึ้นมาทันที เป็นวิธีไปดูนรกดูสวรรค์อีกแบบหนึ่ง
อีกแบบหนึ่ง เขาใช้คาถาปลุกพระ “นะ มะ พะ ทะ” ให้ถือดอกไม้แล้วบริกรรมภาวนา และเมื่อบริกรรมภาวนาขึ้นมาแล้วเราก็บอกอย่างเดียวกันนั้นแหละ บางทีพวกเราภาวนา พุทโธๆๆ เราจะไปดูนรก ดูสวรรค์ บางทีพุทโธแล้วจิตสงบเคลิ้ม ๆ ลงไป เกิดสงบขึ้นมาตอนที่ภาวนาพุทโธ คำว่าพุทโธหายไป ยังเหลือแต่จิตที่สว่าง สงบ และก็ลอยๆ ล่องๆ ยังไม่มีสติสัมปชัญญะสมบูรณ์ จิตอยู่ในสภาวะครึ่งหลับครึ่งตื่น เหมือนกับคนนอนหลับ ครึ่งหลับครึ่งตื่น ในตอนนี้ถ้าความสว่างจ้าส่งไปทางตา ตรงไปข้างหน้า จิตพุ่งกระแสไปตามแสงสว่างนั้น มันจะเกิดนิมิตอยู่ข้างหน้า บางทีก็เห็นรูปคน รูปสัตว์ ในยามนี้ถ้ามีใครส่งเสียงว่า เอ้า...นั้นเจ้าเห็นเทวดา เห็นภูตเห็นผี มันก็จะไปกันใหญ่ นี่วิธีการที่จะไปดูภาพต่างๆ มันเป็นอย่างนั้น ทีนี้นักภาวนาที่มีภูมิจิตที่เดินในทางที่ถูก ในเมื่อบริกรรมภาวนา พุทโธๆๆ เมื่อจิตสงบสว่างแล้วคำบริกรรมภาวนาหายไป จิตไม่ได้นึกพุทโธ จิตสว่างอยู่เฉยๆ ถ้าจิตดวงใดเริ่มมองเข้ามาภายใน จะมองเห็นลมหายใจ แล้วก็ตามลมหายใจเข้าไปในกาย แล้วก็มาอยู่ภายในร่างกายของตัวเอง อาจจะเกิดความรู้สว่างไสวขึ้น จิตที่สว่างไสวจะมองเห็นอวัยวะภายในของร่างกาย ตับไตไส้พุงได้อย่างถนัดถนี่ ด้วยอาการที่แจ่มแจ้งและผ่องใส ถ้าจิตดวงใดเดินเข้ามาอย่างนี้เรียกว่าเดินทางที่ถูก ควรจะยึดเป็นหลักปฏิบัติ
ทีนี้อีกปัญหาหนึ่ง มีผู้กล่าวว่า ผู้ภาวนาพุทโธๆๆ นี้จิตสงบเพียงแค่สมถะเท่านั้น ถ้าใครพูดอย่างนี้ภาวนาไม่เป็น ถ้าคนภาวนาเป็นเขาจะรู้ได้ทันทีว่า คำภาวนาทุกอย่างนั้นทำจิตให้สงบได้แค่อุปจารสมาธิ ในเมื่อจิตสงบถึงขั้นอุปจารสมาธิ คำบริกรรมก็หายไป จิตไม่ได้นึกคำบริกรรมภาวนาอีกเลย ผู้ภาวนาเป็นแล้วลองภาวนาดูซิ จริงอย่างที่พระว่าหรือเปล่า ถ้าตราบใดจิตยังนึกถึง พุทโธๆๆ อยู่ พุทโธเป็นคำ 2 คำ ถ้าหากว่าจิตยังนึกพุทโธๆๆ จิตก็ยังไม่สงบ เราจะต้องตั้งใจนึกพุทโธอยู่ ในเมื่อจิตสงบไปได้แล้วคำว่าพุทโธ มีแต่สภาวะสงบ นิ่ง สว่าง ความสงบ นิ่ง สว่าง ของจิตในขณะนี้จะไม่ใช่สมาธิขั้นสมบูรณ์เป็นขั้นอัปปนาสมาธิ เป็นแต่เพียงอุปจารสมาธิเท่านั้น แต่หากผู้ภาวนารู้สึกว่าคำบริกรรม พุทโธหายไป แล้วก็ไปนึกพุทโธใหม่อีก เป็นการเริ่มต้นใหม่ ทางที่ดีแล้วไม่ควรนึกถึงพุทโธอีก กำหนดรู้ลงที่จิตเท่านั้น รู้อยู่ที่จิตที่สงบ นิ่ง สว่าง อยู่นั้นจนกว่าจิตมันจะละเอียด สงบ นิ่งลงไป
หรือมิฉะนั้นจะน้อมเข้ามาพิจารณาอะไรสักอย่างหนึ่งภายในกายของเรา โดยจะยึดเอาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง กัมมัฏฐานเบื้องต้นเรียกว่า “มูลกัมมัฏฐาน” โดยเฉพาะอย่างยิ่งพระภิกษุสงฆ์สามเณรผู้บวชในพระพุทธศาสนา จำเป็นอย่างยิ่งที่จะตีกัมมัฏฐาน 5 ให้แตก เพราะกัมมัฏฐาน 5 นี้เป็นประตูด่านแรก ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เป็นเครื่องหมายของความสวยความงาม ถ้าคนที่มีผมงามเขาก็เรียกว่าคนสวยคนงาม มีขนงามเขาก็เรียกว่าคนสวยคนงาม มีหนังเกลี้ยงเกลาเขาก็เรียกว่าคนสวยคนงาม ถ้าทุกสิ่งทุกอย่างมันผิดปกติไป คนนั้นไม่มีผมเป็นคนหัวล้าน ใครเขาจะเรียกว่าเป็นคนสวยคนงาม คนที่เป็นขี้ทูดกุดถังสกปรกโสโครกใครเขาจะเรียกว่าคนสวยคนงาม แล้วเราจะเอาความรักความชอบมาจากไหน เรามาพิจารณากัมมัฏฐาน 5 ให้เห็นว่าเป็นของปฏิกูล น่าเกลียดโสโครก ไม่สวยไม่งาม ปกคลุมชุ่มด้วยโลหิต เวลามันมีชีวิตอยู่เราก็จะต้องบริการทำความสะอาด อาบน้ำฟอกสบู่ ประดับตกแต่งด้วยของหอมเครื่องย้อมเครื่องทาอยู่เป็นปกติ ถ้าปล่อยไว้ก็สกปรกเหม็นสาบเหม็นสาง เมื่อตายลงไปแล้วร่างกายเน่าเปื่อยผุพัง อันนี้ก็ยิ่งเป็นของปฏิกูลน่าเกลียดยิ่งขึ้น ถ้าหากว่าท่านผู้ใดมาสนใจคำสอนของพระอุปัชฌาย์ มาพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ให้ได้อสุภกัมมัฏฐาน ผู้นั้นได้ชื่อว่าเปิดประตูด่านแรกเข้าไปมองดูพระธรรมวินัยอย่างสุขุมยิ่ง ถ้าหากเรายังตีเส้นผมของเราไม่ออกแล้ว ชีวิตแห่งพรหมจรรย์ก็ยังอยู่ในลักษณะที่ว่าลังเล จะอยู่หรือจะไป จะสึกหรือจะอยู่ เรื่องของอสุภกัมมัฏฐานเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พระอุปัฌาย์ว่า การพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนังให้เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก จะเป็นอุบายไถ่ถอนราคะความกำหนัดยินดีไม่ให้เกิดขึ้น จิตใจเราจะได้อยู่เย็นเป็นสุขในพระธรรมวินัยสืบไป หากท่านผู้ใดพิจารณาผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไม่เห็นเป็นของปฏิกูลน่าเกลียด เราก็อยู่ในพระธรรมวินัยได้ด้วยความไม่ร่มเย็นเป็นสุข ความร้อนด้วยราคะ ร้อนด้วยโทสะ โมหะ ครอบงำจิตใจ ไม่เป็นอันที่จะบำเพ็ญเพียรภาวนา ทนไม่ไหวก็ลาสิกขาสึกไป
|