ประสบการณ์การปฏิบัติธรรมของนักเรียนที่วัดวะภูแก้ว ประจำปี 2552 |
Wednesday, 04 November 2009 04:46 | |||||||||||||
*************************************************************
การมาวัดวะภูแก้ว ในครั้งนี้ข้าพเจ้าตัดสินใจมาด้วยความเต็มใจ เพราะข้าพเจ้าคิดว่ามาแล้วได้ทำบุญการมาในครั้งนี้ ข้าพเจ้ายอมรับว่าเป็นทุกข์ ต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการข่มใจทำสมาธิ แต่การทำสมาธิครั้งนี้ ข้าพเจ้าใช้ความมานะสำเร็จสามารถข่มใจให้อดทน จนเป็นสมาธิได้แม้จะไม่นานก็ตาม แต่ข้าพเจ้าคิดว่า สิ่งเหล่านี้จะทำให้ชีวิตของข้าพเจ้า สงบ มีความสุข มีความก้าวหน้าในชีวิตแน่นอน
************************************************************* ค่ายรด. vs ค่ายธรรมสวัสดีครับผมอยากจะบอกจากใจจริงว่า ผมไม่อยากมาที่นี่เหมือนทุกคนนั้นแหละครับ และทุกคนก็รู้ดีว่า เราต้องจำใจมาเพราะครูฝ่ายปกครองเขาบังคับ และ ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ตัวของผมเองนั้นเหนื่อยมาก เพราะว่าพึ่งกลับมาจากค่าย รด. การฝึกทั้งร้อนและหนาว ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว แถมกลับมาก็ ยังเป็นไข้อีก พอกลับมาพักที่บ้านได้ 1 วัน วันที่ 2 ก็ไปโรงเรียนเพื่อไปฟังผลสอบ กลับเจอโชคร้ายเพราะว่าฝ่ายปกครองบอกว่าใครไม่ไปเข้าค่าย จะไม่ให้ผ่าน แต่ไม่นึกถึงผมเลยเพราะร่างกายมันไม่ไหวแล้ว ก็เลยต้องจำใจไปฉีดยา 2 เข็ม เพื่อที่จะให้ร่างกายหายทันเพื่อที่จะมาเข้าค่ายกับเพื่อนได้ และผมก็รู้อยู่แล้วว่า วัดวะภูแก้วอยู่ที่ไหนเพราะถ้าบอกว่าอำเภอสูงเนิน ผมก็รู้ว่าป่าชัดๆ พอมาถึงค่าย กลับแปลกใจที่ว่า บรรยากาศที่นี่กลับเย็นสบาย พอได้ทำกิจกรรมน่าเบื่อมาก มีแต่นั่งสมาธิ และเดินจงกรม ยิ่งปวดขาอยู่แล้วเลยคุณ2ไปเลยและการมาเข้าค่ายครั้งนี้ผมบอกไม่ถูกหรอกว่า ผมมีสมาธิมากขึ้นหรือลดลงแต่ผมก็ทำอย่างเต็มที่แล้ว แต่แปลกใจ ขาของผมที่เคยปวดหลังจากกลับจากการฝึก แต่ตอนนี้หายปวดแล้ว ทั้งนั่งสมาธิทุกวัน ทั้งปวดขา ทั้งเจ็บ แต่กลับหายปวดได้ไง
*************************************************************
แด่เพื่อนที่ขาดพ่อ
เราเป็นเด็กไม่มีพ่อ ไม่เคยกอดพ่อ และ ไม่เคยรู้ว่าการมีพ่อเคียงข้างเรานี้เป็นยังไง อย่างไร เพราะพ่อเราเสียตั้งแต่เราอยู่ในท้อง เราจึงมีแม่เพียงคนเดี่ยวที่เลี้ยงเรามาจนถึงทุกวันนี้ แต่เราก็ไม่ค่อยสนใจท่านนัก แต่พอมาวันนี้ วันที่ได้มาเข้าค่ายในวัดวะภูแก้ว ดร.ดาราวรรณ ท่านได้สอนให้เรารู้จักบุญคุณของบิดามารดา ทำให้หนูคิดได้ว่า แม่คือคนที่สำคัญที่สุดของชีวิตเรา จากคนที่เคยเถียง เคยด่า เคยทำอะไรไม่ดีกับท่านนั้น ท่านคงเสียใจมาก และ ต่อจากนี้ไปเราจะเป็นคนดีของแม่ เราจะเชื่อฟังคำสั่งสอนของท่าน จะดูแลท่านให้ดีเหมือนที่ท่านดูแลเราเพราะตลอด 18 ปี แม่เลี้ยงเรามาด้วยความรัก และ ความอบอุ่นมาโดยตลอด ท่านเป็นได้ทั้งพ่อและแม่ในเวลาเดียวกัน และ เป็นที่ปรึกษาที่ดีที่สุดสำหรับเรา และวันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเข้าค่าย ดร.ดาราวรรณท่านให้นั่งสมาธิ แล้วฟังเทประลึกถึงบุญคุณของบิดามารดา และ ตอนที่สำคัญที่สุดคือตอนที่ให้นักเรียนกราบลงพื้นแล้วให้นึกว่าพ่อแม่มานั่งอยู่ข้างหน้า ทำให้เราเกิดจินตนาการขึ้นว่าเราได้กอดพ่อ ซึ่งเป็นความรู้สึกที่ไม่เคยเกิดขึ้นเลย และ จะเป็นความทรงจำที่ดีแบบตลอดไปและเราจะพยายามคิดและจินตนาการว่าได้กอดพ่อแบบนี้บ่อยๆและในที่สุดเราก็ได้รู้ว่าพ่อไม่ได้ไปไหนพ่อจะอยู่กับเราตลอดไป และสุดท้ายก่อนจะจากกันไปเราอยากให้เพื่อนๆ ที่ไม่มีพ่อไม่มีแม่จงใช้การจินตนาการ หรือ จิตใต้สำนึกแบบเราคิดถึงท่านให้มากๆ แล้วท่านจะไม่ไปไหนท่านยังอยู่ในใจเรานั้นเอง ไม่เชื่อเราลองทดลองดู......
*************************************************************
9 (ก้าว) ที่ต้องเดินต่อไปด้วยกำลังใจการมาอบรมที่วัดวะภูแก้วนี้บรรยากาศดีมาก เหมาะมากแก่การทำสมาธิ ตัวของหนูเองก็เหมือนกับเพื่อนๆ คนอื่นๆ ที่ทำสมาธิได้เพียงแค่เมื่อจบเสียงเทปการบรรยาย หนูเองไม่ได้ซีเรียสกับการนั่งมากมาย ที่เขียนว่า 9 ที่ต้องเดินต่อไปนั้น เป็นเลขเก้า (9) เพราะหนูเริ่มรับรู้ถึงความสงบในยกการทำสมาธิครั้งที่ 9 แต่ก็เหมือนเดิม ทำได้ถึงแค่เสียงบรรยายจบ ต่อมาถึงการทำสมาธิครั้งที่ 10 หนูก็รับรู้ถึงความสงบได้ ครั้งนี้ทำได้นานกว่าเดิมจนเข้ารอบ ต่อมาถึงการทำสมาธิครั้งที่ 11 หนูก็สัมผัสและรับรู้ถึง กำลังใจที่หายไป อันที่จริงมันไม่หายไปไหนหรอก แต่ หนูไม่เห็นเอง กำลังใจที่ว่าคือ พ่อกับแม่ นั่นเอง ต่อมาถึงการทำสมาธิครั้งที่ 12 ครั้งนี้ทำเพื่อ เผื่อแผ่บุญนั่น ไปยังพ่อแม่ ครูอาจารย์ และ สรรพสัตว์ทุกชนิด
************************************************************* พ่อจ๋า.....ลูกขอโทษเมื่อก่อนครอบครัวของฉันเป็นครอบครัวที่อบอุ่น แต่พ่อกับแม่ต้องแยกทางกันด้วยเหตุใดดิฉันไม่ทราบ ดังนั้นฉันจึงต้องถูกแยกออกห่างจากพ่อ แม่ไม่มีเงินพอที่จะเลี้ยงฉันกับน้อง จึง ส่งเราสองคนกลับบ้านนอกที่จังหวัดอุดร อยู่กับตาขี้เหล้าในกระท่อมที่มีแต่หลังคา แต่ตอนนี้ท่านเสียแล้วด้วยโรคมะเร็ง เมื่อพ่อเห็นฉันลำบากจึงมารับไปอยู่ด้วย แต่อยู่ได้เพียง 1 เดือน กับอีก 21 วัน พ่อก็ไล่ฉันและ น้อง ออกจากบ้านเพียงเพราะฉันติดต่อกับแม่ แต่ที่พ่อโกรธมากเพราะแม่มาหาฉันและน้องพร้อมกับสามีใหม่ของแม่ มันทำให้พ่อโกรธมาก ในตอนนั้นฉันทั้งโกรธและเกลียดพ่อขึ้นมาทันทีสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ให้อภัยกับพ่อเด็ดขาด เพราะพ่อไม่รักฉันกับน้องถึงกับกล้าไล่ฉันเหมือนหมูเหมือนหมา เหมือนฉันกับน้องไม่ใช่ลูกของพ่อ แต่เมื่อฉันได้เข้ามาปฏิบัติธรรมในวัดวะภูแก้วแห่งนี้ ความคิดอคติที่มีต่อพ่อก็หายไปเป็นปริตรทิ้งกลับมีความรู้สึกอยากกอดและบอกรักท่านด้วยซ้ำอยากกราบเท้าท่าน อยากดูแลท่าน ขอแค่เจอท่านสักครั้งก็ยังดี วัดวะภูแก้วแห่งนี้ให้อะไรกับฉันมากมาย รู้สึกว่าตนมีสมาธิมากขึ้น ใจเย็นกว่าเดิมมีเหตุผล ที่สำคัญอคติที่มีต่อพ่อหายไป ขอขอบคุณท่านอาจารย์ ดร. ดาราวรรณ คณะวิทยากร ครูอาจารย์ทุกท่านที่ทำให้ดิฉันรู้สึกสุขทั้งกายสุขทั้งใจเช่นนี้ หากมีโอกาสดิฉันสัญญาว่าจะต้องกลับมาฝึกสมาธิ ณ ที่วัดแห่งนี้อีก ขอขอบคุณค่ะ หมายเหตุ
จากลูกที่เคยหลงผิด น.ส.เปรมฤดี เพียรสดับ
*************************************************************
|
|||||||||||||
Last Updated on Monday, 30 November 2009 07:50 |