ความอัศจรรย์มีจริง ! “ ถ้าหลวงตาสั่งให้ไปตาย หนูก็จะไปเดี๋ยวนี้เลยค่ะ เพราะหลวงตาเป็นผู้ให้ชีวิตใหม่แก่หนู หากหลวงตาไม่ช่วยหนูไว้ หนูก็คงตายไปตั้งแต่วันที่ 19 มกราคม แล้ว ตอนนี้หนูก็ได้กำไรมา 1 เดือนแล้วค่ะ ” ข้าพเจ้าลั่นวาจาก้องกังวานถวายชีวิตแด่องค์หลวงตามหาบัวญาณสัมปันโน พระผู้เป็นยิ่งกว่า “พ่อแม่ครูอาจารย์” สำหรับข้าพเจ้า ในวันที่ 20 กุมภาพันธ์ 2548 เมื่อได้รับโอกาสให้ไปกราบท่านที่กุฏิเพื่อขอบพระคุณที่ท่านได้ช่วยชีวิตไว้ และกราบเรียนรายละเอียดเกี่ยวกับอาการป่วย เนื่องจากท่านปิ๋วและผู้กำกับกฤษฎาแจ้งมาว่า ถ้าอาการทุเลาพอเดินทางไหว อยากให้มากราบเรียนรายละเอียดต่อองค์หลวงตาเอง เพราะระหว่างที่ข้าพเจ้าป่วยหนักอยู่นั้น เมื่อท่านทราบข่าวจากท่านปิ๋ว ท่านเมตตาช่วยอยู่ตลอดเวลาและถามอาการจากท่านปิ๋วบ้าง ท่านผู้กำกับบ้าง วันละหลาย ๆ ครั้งว่า “อาการเป็นอย่างไรบ้าง” ทั้งสองท่านก็ให้ข้อมูลได้ไม่มากนัก เพราะในช่วงนั้นข้าพเจ้าพูดได้ก็น้อยมาก เนื่องจากไม่มีแรงแม้กระทั่งจะเปล่งเสียงออกมา การเดินทางไปวัดป่าบ้านตาดในวันนั้น พี่แต๋ว จุ๋ม เหน่ง (ซึ่งเป็นผู้เฝ้าอาการขณะที่ข้าพเจ้าหมดสติไป) ได้เดินทางไปด้วยกัน โดยนัดหมายกับอานิวัฒน์ไว้ที่วัดป่าบ้านตาด พวกเราเดินทางไปถึงประมาณ 12.30 น. ช่วงนั้นหลวงตาออกไปสงเคราะห์โลกที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง จะกลับมาประมาณ 14.00 น. พระเวรแจ้งว่าคงต้องรออีกสักครู่ เพราะโดยปกติเมื่อหลวงตาเดินทางกลับมาท่านจะต้องพักก่อน การพักของท่านไม่ใช่นอนพัก แต่เป็นการเดินจงกรม จากนั้นเวลาประมาณ 16.00 น. เราก็ได้โอกาสไปกราบท่านที่กุฏิ ข้าพเจ้าตั้งใจว่า เมื่อกราบท่านเสร็จ เงยหน้าขึ้นมา ก็จะรีบกล่าวคำสำนึกในพระคุณของท่านที่ได้ช่วยชีวิตไว้ แต่ปรากฏว่าไม่ทันองค์ท่าน ทันทีที่ข้าพเจ้าเงยหน้า ยืดตัวขึ้นจากการก้มกราบ ท่านก็พูดขึ้นทันทีว่า “ที่ป่วยอยู่น่ะ เราทราบแล้ว ลูกศิษย์เขาบอก เราช่วยอยู่ตลอดเวลานะ” ข้าพเจ้าได้กราบเรียนข้อมูลเกี่ยวกับอาการป่วยของข้าพเจ้าให้ท่านทราบ พร้อมทั้งอ้างพยานบุคคลที่อยู่ด้วยกัน ณ ที่นั้นว่า “ พี่ ๆ น้อง ๆ พวกนี้ (คือ พี่แต๋ว จุ๋ม เหน่ง) เขาดูแลหนูอยู่ช่วงที่อาการหนัก ไม่มีใครคิดเลยว่าหนูจะรอด ทุกคนหมดหวัง แต่พอได้รับการติดต่อจากท่านปิ๋วว่าหลวงตาจะช่วย อาการก็ดีขึ้นตามลำดับ จนรอดมาได้” หลวงตากล่าวขึ้นด้วยความเมตตาว่า “ ความอัศจรรย์มีจริง ! ” สลบไป 3 วัน วันเกิดเหตุ คือ วันที่ 19 มกราคม 2548 วันนั้นข้าพเจ้าตั้งใจเดินทางเข้ากรุงเทพฯ เพื่อนำของขวัญวันเกิดไปให้หลานซึ่งครบรอบวันเกิดมาตั้งแต่ 15 มกราคม แต่ยังไม่มีเวลาไปพบกัน เผอิญมีความรู้สึกอ่อนเพลียจากอาการกระเพาะปัสสาวะอักเสบ ซึ่งเป็นมาประมาณ 2 เดือน จึงโทรปรึกษาพี่แป้น (คุณหมออมรา มลิลา) พี่แป้นแนะนำให้พักผ่อน จึงตัดสินใจเปลี่ยนแผน เลื่อนการเดินทางไปก่อน ช่วงนั้น มาศ เพื่อนบ้านที่แสนดี เข้ามาคุยด้วย บ้านของเรารั้วติดกัน ด้วยความที่อยู่ด้วยกันเหมือนญาติ เลยทะลุรั้วหากัน ข้าพเจ้าจึงขอให้มาศนำยาหอมมาให้เพราะรู้สึกเพลีย ๆ ข้าพเจ้าจำเรื่องราวได้เพียงเท่านี้ เหตุการณ์หลังจากนี้ถูกลบเลือนไปจากความทรงจำโดยสิ้นเชิง เมื่ออาการเป็นปกติ กลับมาพักที่บ้าน จึงมาถามรายละเอียดจากมาศว่า เกิดอะไรขึ้นกับข้าพเจ้าหลังจากดื่มยาหอมแล้ว ตุ๋ม เพื่อนบ้านอีกคนที่รักกันเหมือนพี่น้อง ช่วยให้ข้อมูลว่า “ตอนที่พี่ตุ๊กดื่มยาหอม ตุ๋มก็อยู่ด้วย ยังถามพี่ตุ๊กเลยว่าจะให้ตุ๋มพาไปหาหมอไหม พี่ตุ๊กบอกว่า ไม่ต้อง ขอนอนพักดูก่อน” มาศบอกว่า พอเดินกลับบ้านไปสักครู่ ก็ได้รับโทรศัพท์จากข้าพเจ้าว่า อยากดื่มนม มาศจึงนำนมมาให้ คำบอกเล่าของมาศทำให้ข้าพเจ้าค่อนข้างตกใจว่า อาการขณะนั้นน่าจะหนักเอาการอยู่ถึงขนาดต้องโทรศัพท์ไปหา เพราะโดยปกติหากต้องการอะไร ข้าพเจ้าก็จะเดินไปตะโกนบอก เพราะบ้านก็อยู่ติดกัน เดินไปหากันก็แค่ไม่กี่เมตร นี่แสดงว่าข้าพเจ้าไม่มีแรงเอาจริง ๆ มาศเล่าต่อว่า พอถึงเวลาประมาณ 11.00 น. นึกเป็นห่วงว่าข้าพเจ้ารับประทานอาหารหรือยัง จึงเตรียมต้มข้าวต้มไว้ให้ แล้วเดินมาแอบดูที่หน้าต่างห้องนอน (บ้านข้าพเจ้าเป็นบ้านชั้นเดียว) ภาพที่ปรากฏแก่สายตาทำให้มาศตกใจมาก ข้าพเจ้า (คงจะไหลลงมาจากเตียง) กึ่งนอนกึ่งนั่ง หลังพิงประตูห้องอยู่ อาเจียนสีดำเต็มหน้าอก หลับสนิทไม่รู้สึกตัว อยู่ในท่าที่พยายามดึงกางเกงนอนออก คงจะเกิดอาการร้อนจนทนไม่ไหว มาศจึงไปเรียกตุ๋มมาช่วยอีกคน แต่คิดว่าคงเข้าบ้านไม่ได้ เพราะโดยปกติข้าพเจ้าจะคล้องกุญแจประตูด้านในไว้ เทวดาช่วยเปิดทาง
คงจะเป็นเพราะข้าพเจ้ายังมีบุญอยู่ ธรรมะจึงจัดสรรให้การให้ความช่วยเหลือเป็นไปด้วยความสะดวก มาศเล่าต่อว่า พอผลักประตูจะเข้าบ้าน ก็เข้ามาได้ทันที เพราะวันนั้นข้าพเจ้าไม่ได้คล้องกุญแจไว้ แต่เปิดเข้าห้องนอนไม่ได้ เพราะข้าพเจ้านั่งพิงอยู่ หากผลักเข้ามาก็เท่ากับผลักข้าพเจ้าให้คว่ำลงไปกับพื้นซึ่งอาจเกิดอันตรายได้ จึงเดินอ้อมไปเข้าด้านห้องน้ำ โชคดีอีก วันนั้นข้าพเจ้าไม่ได้ใส่กลอนประตูไว้ มาศกับตุ๋มได้ช่วยเช็ดตัวและเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ข้าพเจ้า แล้วโทรศัพท์ติดต่อโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่งให้นำรถฉุกเฉินมาให้ข้าพเจ้า สุนีย์ ลูกศิษย์หลวงตา ที่รักและนับถือข้าพเจ้าเหมือนพี่คนหนึ่ง เข้ามาเกี่ยวข้องกับเรื่องนี้พอดี และเป็นผู้เชื่อมโยงให้ข่าวนี้ทราบไปถึงองค์หลวงตา สุนีย์เล่าว่า วันนั้นมีความรู้สึกคิดถึงและเป็นห่วงข้าพเจ้าขึ้นมา เพราะรู้ว่าข้าพเจ้าไม่ค่อยสบายอยู่ จึงโทรศัพท์มาหา รอตั้งนานข้าพเจ้าก็ไม่รับโทรศัพท์สักที จนมาศมารับแทน แล้วบอกว่า ข้าพเจ้าหมดสติอยู่ กำลังโทรเรียกรถพยาบาล สุนีย์โทรเช็คอาการทุก 15 นาที ว่าฟื้นหรือยัง ข้าพเจ้าก็ยังไม่ฟื้นสักที จนถึงช่วงบ่าย สุนีย์รู้สึกกังวลมากขึ้น ในช่วงนั้นจิตคิดขึ้นว่า “มีแต่พ่อแม่ครูอาจารย์หลวงตามหาบัวเท่านั้นที่เป็นที่พึ่งได้ในยามนี้” จึงตัดสินใจโทรไปกราบเรียนท่านปิ๋ว ท่านปิ๋วบอกว่าหลวงตาพักแล้ว สุนีย์ยังไม่ลดละความพยายาม ตั้งจิตอธิษฐานพร้อมทั้งกราบเรียนท่านปิ๋วว่า “ถ้าเช่นนั้นก็แล้วแต่วาสนาบารมีของพี่เขา หากเขายังมีวาสนาก็ขอให้หลวงตามาโปรดด้วย” คำอธิษฐานของสุนีย์อาจไปกระทบจิตขององค์หลวงตา หรือไม่เทวดาอาจรีบไปส่งข่าวก็ได้ อีกไม่ถึงครึ่งชั่วโมง ท่านปิ๋วก็ติดต่อกลับมาแจ้งว่า หลวงตาเรียกท่านไปพบพอดี ท่านจึงมีโอกาสกราบเรียนว่าข้าพเจ้าหมดสติอยู่ หลังจากที่หลวงตารับทราบแล้ว ท่านจึงสั่งท่านปิ๋วว่า “ โทรไปบอกเขาเดี๋ยวนี้ว่าเราจะช่วย เพราะคน ๆ นี้เขาเป็นกำลังสำคัญของพระศาสนา” คุณหมอแสงดาว ลูกศิษย์หลวงปู่สุวัจน์ที่วัดป่าเขาน้อย บุรีรัมย์ ก็เป็นอีกคนหนึ่งที่คงเคยทำบุญเกื้อหนุนกันมา จึงได้เข้ามาช่วยแก้ปัญหาได้อย่างหวุดหวิด คุณหมอเล่าว่า วันนั้นเข้ามาประชุมที่โรงพยาบาลมหาราช นครราชสีมา พอดี พอเสร็จประชุมเตรียมเดินทางกลับ ขณะที่กำลังแวะซื้อของฝากอยู่แถวหัวทะเล ก็ได้รับโทรศัพท์จากน้อย (นิยะดา) โยมอุปัฏฐากวัดป่าเขาน้อย พอน้อยทราบว่าคุณหมออยู่โคราชพอดี จึงขอให้คุณหมอช่วยมาดูอาการข้าพเจ้าที่โรงพยาบาลด้วย คุณหมอจึงตีรถย้อนกลับเข้าโคราชทันที เมื่อมาถึงโรงพยาบาล คุณหมอคิดว่าข้าพเจ้าคงอยู่ห้องฉุกเฉิน แต่ผิดคาด ทางโรงพยาบาลให้ข้าพเจ้าอยู่ห้องพิเศษ คุณหมอจึงใจชื้นคิดว่าอาการคงไม่หนักมาก แต่พอไปถึงห้อง พบว่ามีญาติธรรมอยู่ทั้งในห้องและนอกห้องเต็มไปหมด (เขาเล่าให้ฟังภายหลังว่า เขาโทรแจ้งกันว่า ให้รีบมาดูใจข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้ากำลังจะตายอยู่แล้ว) พอคุณหมอเห็นอาการก็รู้สึกกังวลมาก เรียกเท่าไรก็ไม่รู้สึกตัว หายใจไม่ดีแล้ว (หายใจปลา) คุณหมอจึงบอกให้พยาบาล ไปเชิญคุณหมอวิสัญญีมาประเมินคนไข้ เพราะดูแล้วน่าจะต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ แล้วย้ายไปอยู่ ICU ด่วน เดชะบุญ คุณหมอแสงดาวมาทันการ คุณหมอบอกว่าหากไม่ได้เครื่องช่วยหายใจทันทีในตอนนั้น ข้าพเจ้าคงหมดลมไปก่อนเป็นแน่ คำวินิจฉัยทางการแพทย์ . . . เข่าอ่อน !
คุณหมอแสงดาวบรรยายอาการของข้าพเจ้าที่ได้พบตอนนั้น คุณหมอบอกว่า “หมอเข่าอ่อนเลย อาการดิ้นทุรนทุรายเหมือนคนเส้นโลหิตในสมองแตก หรือเส้นเลือดในสมองอุดตัน หากเป็นเช่นนั้นจริงก็ไม่เห็นทางรอด ถ้าปาฏิหาริย์รอดได้ก็ต้องนอนเป็นผัก เป็นเจ้าหญิงนิทรา หรือโชคดีสุด ๆ ก็พอเป็นผู้เป็นคนแบบเอ๋อ ๆ อยู่อย่างน้อย 6 เดือน กว่าจะฟื้นฟูเป็นปกติได้ ” คุณหมอจึงขอให้ทางโรงพยาบาลทำ CT Scan (เอกซเรย์คอมพิวเตอร์ที่สมอง) ด่วน ผลปรากฏว่าไม่มีอาการทางสมอง แต่เกิดจากปริมาณเกลือแร่ต่ำลงกะทันหัน ทำให้สูญเสียความรู้สึก จากนั้นจึงแนะนำให้ไปเชิญแพทย์ผู้เชี่ยวชาญโรคไตจากโรงพยาบาลมหาราชมาดูอาการ ซึ่งให้บังเอิญคุณหมอเป็นลูกชายของศิษย์คนหนึ่ง จากคำบอกเล่าของพี่ ๆ น้อง ๆ ที่เฝ้าดูอาการ คุณหมอเจ้าของไข้ถามว่าคนไข้เป็นเบาหวานหรือเปล่า เพราะน้ำตาลขึ้นสูงถึง 200 กว่า (หรือ 400 กว่า ไม่แน่ใจข้อมูลส่วนนี้) เกลือแร่ก็ต่ำถึง 119 ความดันก็ลดต่ำจนน่ากลัว หลานบอกว่าอยู่ที่ 50 / 30 ต้องใช้ยาเร่งความดันตลอดเวลา ทั้งหมดนี้คืออาการที่ปรากฏ ส่วนสาเหตุยังฟันธงให้ชัดเจนไม่ได้ คำวินิจฉัยทางจิต . . . . หมดอายุขัย ชะตาขาด
เมื่อญาติพี่น้องทางกรุงเทพฯ ทราบข่าว หลานชายซึ่งคุ้นเคยกับนักปฏิบัติธรรมท่านหนึ่งชื่อ ‘คุณน้อย’ เธอมีความสามารถพิเศษทางสมาธิจิต หลานจึงโทรไปปรึกษาว่าจะมีทางรอดไหม คุณน้อยตอบว่า “ไม่พ้นวันนี้ หมดอายุขัยแล้ว ชะตาขาด” หลังจากนั้นอีก 3 วัน ข้าพเจ้าฟื้นขึ้นมา หลานก็โทรไปหาคุณน้อย หลานยังไม่ทันได้พูดอะไร คุณน้อยก็พูดขึ้นก่อนว่า “ รอดแล้วนี่ ! ครูบาอาจารย์ท่านช่วยไว้นะ ให้ไปกราบขอบพระคุณท่านด้วย” อีกหนึ่งคำวินิจฉัย . . . ถูกคุณไสย
ก่อนเกิดเหตุเพียงวันเดียว ข้าพเจ้าไปพบคุณตานาค เพื่อปรึกษาว่าการเจ็บป่วยของข้าพเจ้าคือกระเพาะปัสสาวะอักเสบ เป็นโรคกรรมหรือไม่ เพราะหากเป็นโรคที่เกิดจากกรรม ข้าพเจ้าขอเลือกทำบุญแก้กรรมดีกว่าต้องไปนอนโรงพยาบาล ถูกฉีดยาหรือผ่าตัด ขอพูดถึง “คุณตานาค” สักนิด เพื่อให้ทราบเหตุผลว่าทำไมข้าพเจ้าจึงไปปรึกษาคุณตานาค (แต่ก็ไปโรงพยาบาลหาหมอด้วยนะ) ข้าพเจ้าได้ยินชื่อคุณตานาคจากการบอกเล่าของพี่อรุณศรี ว่าท่านเป็นผู้ที่มีศีลมีธรรม มีความรู้พิเศษเรื่องการแก้กรรม ใครที่เป็นโรคแปลก ๆ หรือโรคที่หมอรักษาไม่ได้ เมื่อหมดหนทางก็ไปปรึกษาคุณตา หากโรคนั้นเป็นโรคกรรม คุณตาก็จะบอกว่าไปทำกรรมอะไรไว้ ตั้งแต่เมื่อไหร่ แล้วก็แนะนำวิธีแก้ให้ แนวทางการแก้กรรมที่คุณตาแนะนำก็อยู่ในกรอบ ทาน ศีล ภาวนา ไม่ได้ทำพิธีอะไรที่งมงายไร้สาระ และก็ให้เจ้าของเรื่องไปจัดการเอง ไม่ต้องมายุ่งเกี่ยวกับท่าน เพราะท่านทำเพื่อสงเคราะห์ ไม่ต้องการหาผลประโยชน์เข้าตัวเองแต่ประการใด ประมาณปี 2546 ข้าพเจ้าไปหาคุณตานาคกับพี่อรุณศรี ตอนนั้นก็ไม่ได้มีปัญหาทุกร้อนอะไรจะปรึกษา เพียงแต่อยากจะรู้จักท่าน แต่ไหน ๆ ก็ไปแล้ว ก็ขอให้ท่านดูให้สักหน่อยว่า ทำไมข้าพเจ้าจึงปวดแขนข้างขวามาเป็นปี ๆ แล้ว ไม่รู้จักหายสักที ท่านพิจารณาแล้วบอกว่า ในชาติหนึ่งข้าพเจ้าเกิดเป็นผู้หญิงจีน เป็นภรรยาท่านนายพลที่มีวรยุทธสูง จึงฝึกวรยุทธกับสามี แล้วก็เอาลูกน้องของสามีมาประลองยุทธกัน ด้วยความที่เขาเป็นลูกน้อง มีความเกรงใจ จึงออมมือให้ แต่ข้าพเจ้ากลับไปเอาเปรียบเขา ทุบตีเขาไม่ยั้งโดยไม่มีความเมตตาเลย ผลกรรมอันนี้ทำให้ข้าพเจ้าต้องปวดแขนไม่หาย ให้ไปทำบุญเสีย หากไม่รีบไปทำจะเจอหนักกว่านี้ อาจถึงขั้นผ่าตัด คุณตาแนะนำให้ไปหาซื้อหนังสือเกี่ยวกับศิลปะการป้องกันตัวไปแจกจ่าย ดิฉันเชื่อคุณตา แต่ก็ไม่ขวนขวายเท่าที่ควร เพราะคิดว่าข้าพเจ้าทำบุญหนักกว่านั้น คือสวดมนต์ภาวนาอยู่ทุกวัน บุญนี้น่าจะแรงกว่าแจกหนังสือ ในที่สุดก็ไม่ได้ทำตามที่คุณตาแนะนำ แล้วก็เจอดีจนได้ ! วันที่ 28 สิงหาคม 2547 ไปร่วมงานประชุมเพลิงท่านปัญญาวัฒโฑที่วัดป่าบ้านตาด ขากลับเกิดเหตุที่ไม่คาดคิดที่ อ.พล จ.ขอนแก่น ขณะที่ข้าพเจ้ากำลังลงจากรถตู้ เพื่อรับประทานอาหารเย็น เกิดเสียหลักตกลงมาจากรถตู้กระดูกสะโพกหัก ต้องโดนผ่าตัดเอาเหล็กดามมาจนทุกวันนี้ ตอนถูกเข็นเข้าห้อง เอกซเรย์ , ห้องผ่าตัด หรือตอนผ่าตัดแล้วฤทธิ์ยาหมด เกิดทุกขเวทนาเจ็บปวดขึ้นมา พอบอกตัวเองว่า “เราทำเขาไว้ ๆ ๆ ๆ” มันก็สบายใจดี ทุกข์แต่กาย ใจไม่ทุกข์ด้วย เพราะยอมรับผลกรรมที่ทำไว้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมข้าพเจ้าจึงไปปรึกษาคุณตานาค ตอนเกิดอาการกระเพาะปัสสวะอักเสบ ข้าพเจ้าคิดว่าคงเป็นผลต่อเนื่องจากการไปทุบตีเขาไว้ คงไปทุบท้องเขาด้วยกระมัง ครั้งนี้ หากคุณตาแนะนำให้ไปทำบุญ ก็จะรีบไปทำโดยไม่รีรอเหมือนครั้งก่อน แต่การณ์กลับพลิกผัน พอคุณตาพิจารณาเสร็จ ท่านก็ร้องเสียงดังด้วยความตกใจว่า “ไปโดนคุณไสยเข้านี่ เขาทำก้อนอะไรกลม ๆ ไว้ในท้อง อย่าไปผ่าตัดนะ ถ้าผ่าตัดพิษมันจะกระจายไปทั่วถึงตายได้ ต้องขอให้พระที่มีพลังจิตสูง ๆ สลายให้” แล้วคุณตาก็ให้ไปขอน้ำมนต์ที่วัดใกล้ ๆ บ้านคุณตา ดิฉันก็ไปขอมา ดื่มไปได้หนเดียว วันรุ่งขึ้นก็หมดสติไปเลย 3 วัน ครูบาอาจารย์ก็เห็นแบบเดียวกัน
ช่วงที่ข้าพเจ้าหมดความรู้สึกอยู่ ก็มีการแจ้งข่าวกันออกไปอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะในแวดวงกรรมฐานสายพระป่า นิดได้โทรไปกราบเรียนหลวงพ่อหมุนที่จังหวัดสกลนคร หลวงพ่อหมุนท่านเมตตาข้าพเจ้าเป็นพิเศษประดุจพ่อ-ลูก ท่านมีความเป็นห่วงมาก รีบทำน้ำมนต์ส่งด่วนทางรถทัวร์มากรุงเทพฯ ท่านบอกว่า เมื่อท่านพิจารณาในสมาธิจิต ก็เห็นนิมิตว่ามีคนปองร้ายข้าพเจ้า ยิงปืนใหญ่กระหน่ำใส่อย่างไม่ยั้ง แล้วท่านก็ลงความเห็นแบบเดียวกับคุณตานาคว่า ข้าพเจ้าถูกคุณไสย วันหนึ่ง หลวงพ่อจันทร์แรม วัดเกาะแก้วฯ ที่บุรีรัมย์ ได้เดินทางมาที่วัดวะภูแก้วเพื่อทำธุระบางอย่าง จึงถามถึงข้าพเจ้ากับท่านจ้าอาวาส พอเจ้าอาวาสกราบเรียนว่า “ตอนนี้หมดสติอยู่ที่โรงพยาบาลในกรุงเทพ ฯ” พอทราบอาการ หลวงพ่อจันทร์ก็พูดขึ้นมาลอย ๆ ว่า “ ไม่ใช่ถูกคุณไสยหรือ ” อบอุ่นด้วยบารมีธรรมของพ่อแม่ครูอาจารย์และน้ำใจของพี่น้องทางธรรม
หลวงตามหาบัวคือพ่อแม่ครูอาจารย์องค์แรกที่ทราบข่าวการป่วยของข้าพเจ้า และมีเมตตาช่วยเหลือทันที บารมีของท่านเปรียบประดุจแม่เหล็กใหญ่ จึงส่งแรงดึงดูดไปยังเหล็กน้อยใหญ่อีกมากมายร่วมกันส่งพลังเมตตามาช่วยข้าพเจ้า หนูนงค์ (คุณอนงค์ ฮุนตระกูล) ซึ่งตอนนั้นภาวนาอยู่ที่ถ้ำพระภูวัว หนองคาย พอได้รับข่าวที่ส่งต่อ ๆ กันมา ก็ได้ไปกราบเรียนให้ท่านอาจารย์อุทัยทราบ ท่านอาจารย์ก็เมตตาอธิษฐานจิตช่วยในทันที ที่วัดป่ามัชฌิมาวาส กาฬสินธุ์ แม่ชีอรุณก็ได้ไปกราบเรียนท่านอาจารย์เมือง ซึ่งข้าพเจ้าเองก็ได้แต่กราบท่านอยู่ห่าง ๆ ยังไม่มีโอกาสพบท่านใกล้ ๆ เลย ท่านก็มีเมตตาล้นเหลือ ขอให้พระชีในวัดร่วมกันภาวนาให้ข้าพเจ้า หลวงพ่อหมุน วัดป่าแก้ววงศาวาส สกลนคร ก็ภาวนาช่วย พร้อมทั้งทำน้ำมนต์ส่งมาให้เป็นระยะ ๆ ท่านอาจารย์บุญเดช ที่ภูลังกา ซึ่งเห็นว่าข้าพเจ้าถูกคุณไสยอย่างแน่นอน ก็ติดต่อถามข่าวตลอดเวลา ที่ห้อง ICU ในโรงพยาบาลที่ข้าพเจ้าป่วยอยู่ก็คลาคล่ำไปด้วยพระและญาติธรรม จนหมอหงุดหงิดว่าทำงานลำบาก พระมหาธีรนาถ เจ้าอาวาสวัดป่าภูผาสูง ก็ไปเดินจงกรม แผ่เมตตารอบเตียงข้าพเจ้า ท่านกิตติ เจ้าอาวาสวัดวะภูแก้ว และท่านพระครูสังวาลย์ เจ้าอาวาสวัดป่าด่านคลอด ก็ไปเยี่ยมด้วยความเป็นห่วง ส่วนญาติธรรมที่เฝ้าดูอาการอยู่ มีทั้งคณะศิษย์หลวงพ่อพุธ ทีมงานวิทยากรที่วัดวะภูแก้ว และเพื่อนบ้านในซอย บางคนก็นั่งภาวนา บางคนก็เดินจงกรม บางคนก็นั่งร้องไห้เพราะคิดว่าข้าพเจ้าคงจะหมดลมในวันนั้นแน่ ที่วัดป่าสาลวัน คุณยายเรี่ยม ศิษย์อาวุโสของหลวงพ่อพุธ ผู้ที่ไม่เคยจุดธูปเทียนอ้อนวอนสิ่งศักดิ์สิทธิ์เลย ก็อุตส่าห์พยุงสังขารวัย 80 เกือบ 90 มาจุดธูปเทียนที่ศาลาใหญ่ อธิษฐานกับหลวงพ่อพุธว่า “ลูกสาวหลวงพ่อกำลังจะตายแล้วนะ ขอให้หลวงพ่อช่วยด้วย” เสียดายที่ข้าพเจ้าไม่มีโอกาสเห็นภาพเหล่านี้ด้วยตัวเอง ได้แต่ฟังจากคำบอกเล่า จากทางโน้นทีทางนี้ที เพราะตอนนั้นยังไม่รู้สึกตัว เพียงแค่รับฟังก็ปลื้มปีติจนบอกไม่ถูก เชื่อมั่นในบารมีของพระพุทธศาสนา คงจะเป็นอานิสงส์ที่ข้าพเจ้าอุทิศชีวิตเพื่อทำงานรับใช้พระพุทธศาสนาและพ่อแม่ครูอาจารย์ จึงได้ผลตอบสนองที่น่าปลื้มใจเช่นนี้ รวมพลังใจในหมู่มิตร
เนื่องจากข้าพเจ้าเป็นคนกรุงเทพ ฯ ญาติพี่น้องอยู่ทางนี้กันหมด จึงเห็นว่าควรจะย้ายข้าพเจ้ามากรุงเทพ ฯ วันรุ่งขึ้น ข้าพเจ้าจึงมีประสบการณ์ได้นั่ง (นอน) ในรถฉุกเฉินของโรงพยาบาลมาอีกครั้ง เสียดายเหมือนกันที่นอนมาแบบไม่รู้สึกตัว จึงไม่ได้สัมผัสบรรยากาศในรถฉุกเฉินว่าน่าตื่นเต้นขนาดไหน อันที่จริง ที่ข้าพเจ้าบอกว่า “นอนแบบไม่รู้สึกตัว”น่ะ ข้าพเจ้าไม่นอนนิ่ง ๆ ซึม ๆ นะ แต่ดิ้นสุดฤทธิ์สุดเดช ถูกมัดทั้งตัวหัวจรดเท้า หนุ่ย (หลานชาย) บอกว่า “คนอะไร ดิ้นได้หมดวันหมดคืน ไม่รู้จักเหนื่อย คนอื่นเขายังดิ้น ๆ หยุด ๆ เป็นระยะ แต่นี่ดิ้นได้ 24 ชั่วโมง ไม่หยุด” หนุ่ยนั่งมาเป็นเพื่อนในรถ และขอให้พี่แต๋วนั่งมาด้วยอีกคน แต่ไม่มีที่พอเพราะพยาบาลนั่งมาเต็มพิกัดเผื่อมีเหตุฉุกเฉินต้องปั๊มหัวใจกลางทาง ตามคำบอกเล่า ตอนที่ข้าพเจ้ายังไม่รู้สึกตัว อาการน่ากลัวมาก ดิ้นแรงจนผมกระเซอะกระเซิง ตาเถลือกถลน เหมือนคนถูกผีเข้า ญาติพี่น้องเพื่อนฝูงที่มาเยี่ยมก็ช่วยกันทุกวิถีทาง สุนีย์บอกว่า ได้นำน้ำมนต์หลวงตามาลูบตัวให้ทั้งตัวเลย เอื้อย ใจเด็ดมาก อธิษฐานเอาชีวิตเข้าแลกว่า “ถ้าพี่ตุ๊กจะต้องตาย เอื้อยขอตายแทน เพราะชีวิตพี่ตุ๊กทำประโยชน์ได้มากกว่า” เอื้อยบอกว่า พออธิษฐานเสร็จมองมาที่ข้าพเจ้า รู้สึกหวาดกลัว เพราะตาของข้าพเจ้าที่มองเอื้อยกลับเป็นแววตาที่เคียดแค้นอาฆาต น่ากลัวมาก หลังจากนั้นเอื้อยก็มีอาการปวดหัวตัวร้อน แถมมีเคราะห์เสียทรัพย์เป็นแสน ไปปรึกษาผู้ที่มีสมาธิจิต เขาบอกว่า ของ (คุณไสย) กระโดดจากข้าพเจ้าไปเข้าเอื้อย ฐานที่บังอาจอยากจะมาตายแทนข้าพเจ้า (เป็นความเชื่อส่วนตัว กรุณาใช้วิจารณญาณเอง) วันเกิดใหม่
เช้าวันนั้น ข้าพเจ้าลืมตาขึ้นมาด้วยความรู้สึกตัวเป็นครั้งแรก แต่ยังเบลอ ๆ อยู่ ได้ยินเสียงพยาบาลพูดว่า “ขณะนี้คุณอยู่ห้อง I.C.U. โรงพยาบาล. . . นะคะ” ข้าพเจ้าอยากรู้ว่ามาอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่ก็พูดไม่ได้ เพราะมีท่อมีสายต่าง ๆ ระโยงระยางไปหมด จึงขอกระดาษมาเขียนถาม พยาบาลตอบว่า “3 วันแล้ว” ค่อย ๆ คิดทบทวนลำดับวันเวลา คงจะเป็นวันที่ 22 มกราคม แต่หนุ่ยบอกว่าดิฉันฟื้นขึ้นมาตั้งแต่เมื่อวานนี้แล้ว พอรู้สึกตัวขึ้นมาก็ขอกระดาษมาเขียน ข้อความแรกที่เขียนก็คือ “โทรไปถามป้าแต๋วหน่อยว่ามีเด็กมาอบรมที่วัดวะภูแก้วหรือเปล่า” แสดงว่าจิตใต้สำนึกของข้าพเจ้ายึดติดอยู่ที่นั่น ถ้าจิตดับตอนนั้นไปดี คงไปเป็นเทพอยู่แถวนั้น หากโชคร้ายจับอารมณ์อกุศล สงสัยจะได้ไปเป็นเปรตเฝ้าวัด เป็นเรื่องแปลกที่วันที่ข้าพเจ้าได้เกิดใหม่ ไม่ว่าจะเป็นวันที่ 21 มกราคม ตามที่หลานบอก หรือวันที่ 22 มกราคม ตามที่ข้าพเจ้ารู้สึก ก็มีความเกี่ยวข้องกับพ่อของข้าพเจ้า คือ วันที่ 21 มกราคม เป็นวันตายของพ่อ ส่วนวันที่ 22 มกราคม เป็นวันเกิดของท่าน จิตอยู่ที่ไหน
พอฟื้นขึ้นมา ใคร ๆ มาเยี่ยมก็มักจะถามว่า “ไปเที่ยวที่ไหนมาบ้าง” คงจะคิดว่าข้าพเจ้าไปทัวร์สวรรค์นรกจนเพลินเสีย 3 วัน แต่ข้าพเจ้าไม่ได้ไปไหนเลย หลับไปก็ไม่รู้ ตื่นมาก็ไม่รู้ว่าอยู่ที่ไหน นึกถึงคำพูดของหลวงพ่อพุธที่ว่า “คนธรรมดานั้นตายก็ไม่รู้ว่าตาย เกิดก็ไม่รู้ว่าเกิด” นี่ถ้าข้าพเจ้าตายไปตอนนั้นก็คงไม่รู้หรอกว่าตัวเองตายไปแล้ว หากการฟื้นมาเป็นการเกิดใหม่ในอีกภพภูมิก็คงลืมเรื่องราวก่อนมาเกิดใหม่ไปหมด ก็แค่สลบไป 3 วัน ก่อนสลบทำอะไรไปบ้างยังจำไม่ได้เลย เพราะเหตุนี้กระมัง เราจึงจำอดีตชาติไม่ได้ ผู้ที่เห็นอาการของข้าพเจ้าช่วงดิ้นสุดฤทธิ์ แล้วคิดว่าข้าพเจ้าคงทุกข์ทรมานน่าดู บางคนอาจแอบคิดว่าถ้าตายตอนนั้นคงไปอบายภูมิแน่ แต่มันไม่แน่หรอก กายกับจิตมันคนละส่วน จากประสบการณ์ตรงของข้าพเจ้า จิตของข้าพเจ้าไม่ได้ไปเกาะทุกขเวทนาทางกายเลย กายดิ้นก็ดิ้นไป แต่จิตไม่ได้ดิ้นไปด้วย พอฟื้นขึ้นมานั่นแหละ เมื่อกายกับจิตกลับมาสัมพันธ์กัน จึงมีความรู้สึกปวดเนื้อปวดตัวไปหมด วันที่มีโอกาสไปกราบหลวงตา จึงเรียนถามท่านว่า “ตอนที่สลบอยู่ จิตหนูไปอยู่ที่ไหน มันไม่ได้ออกไปเที่ยวที่ไหนเลย แล้วกายที่เขาว่าดิ้นตลอดเวลา ดูน่าทรมาน จิตก็ไม่เห็นไปรับรู้เรื่องของกาย” ท่านตอบว่า “อยู่กับผู้รู้” ข้าพเจ้าก็กราบเรียนประสาโง่ว่า “ผู้รู้อยู่ไหนหนูก็ไม่ทราบ” ท่านเมตตาอธิบายว่า “ธรรมดาของผู้ภาวนา เวลาเกิดทุกขเวทนากล้า จิตจะเอาตัวรอด ทิ้งเวทนาหลบไปหาผู้รู้” ท่านยังเล่าถึงประสบการณ์ตอนท่านอยู่กับหลวงปู่มั่น วันนั้นฉันยาระบายไป ปรากฏว่ามีอาการถ่ายรุนแรงมาก แล้วยังอาเจียนออกมาอีก อาเจียนพุ่งเข้าฝาเลย พอเกิดเวทนากล้า ท่านคิดว่า นี่เราเป็นหนักขนาดนี้เชียวหรือ จากนั้นจิตก็ทิ้งเวทนาไปอยู่กับผู้รู้ ผลของการไม่ทิ้งการภาวนา
จากคำอธิบายของหลวงตา ทำให้ข้าพเจ้าเห็นคุณค่าและความจำเป็นที่ต้องภาวนาอย่างต่อเนื่อง คือทำสติให้ได้ทุกเวลานาที ได้บ้างเสียบ้างก็ตะเกียกตะกายทำไปเถอะ อย่างที่หลวงตามักจะพูดว่า “ล้มลุกคลุกคลานไปก่อน” มีหน้าที่ทำก็ทำไปให้ดีที่สุด โดยอย่าไปคาดหวังผลอะไร สร้างเหตุที่ดีอย่างเดียวเท่านั้น ตอนเริ่มภาวนาใหม่ ๆ ข้าพเจ้าก็อยากจะเห็นโน่นเห็นนี่ ได้โน่นได้นี่ พอไม่เห็นมีอะไรตื่นเต้นก็เลยชักขี้เกียจ กราบเรียนหลวงพ่อพุธว่า “ภาวนามาตั้งนานแล้ว ไม่เห็นได้อะไรเลย” ท่านสวนกลับมาว่า “เขาภาวนาเพื่อจะปล่อยปละละวาง ไม่ได้ภาวนาเพื่อจะเอา ทำไปเรื่อย ๆ !” ดีที่ข้าพเจ้าไม่ดื้อรั้นกับครูบาอาจารย์ ก็เพียรทำไปตามคำสั่งของท่าน ปรากฏว่ามันได้มากมายมหาศาล โดยเฉพาะตอนเข้าตาจน สติสัมปชัญญะที่เก็บเล็กประสมน้อยมาอย่างต่อเนื่อง มันเข้ามาสงเคราะห์เราได้เป็นอัตโนมัติ อย่างเช่น เมื่อปี 2537 ข้าพเจ้าก็เฉียดตายมาแล้วหนหนึ่ง ตอนนั้นเดินทางกลับจากการไปสัมมนาทางวิชาการที่อำเภอแม่สอด รถที่นั่งมา (เป็นรถบัส 2 ชั้น) เกิดเบรกแตกขณะที่วิ่งลงเขาบริเวณดอยมูเซอร์ ซึ่งก่อนหน้านี้ประมาณ 2 สัปดาห์ เพิ่งมีอุบัติเหตุรถตกเหว มีคนตาย 20 กว่าศพ ข้าพเจ้านั่งแถวหน้าสุด หลังคนขับ เห็นเหตุการณ์ทั้งหมดชัดเจน มองไปทางไหนมีแต่เขากับเหว แถมยังมีรถสวนที่เกือบจะประสานงากับรถที่ข้าพเจ้านั่งอยู่ถึง 3 หน ดูไปดูมาไม่เห็นมีทางรอดเลย ในสถานการณ์ที่หวาดเสียวระทึกใจขนาดนั้น แทนที่จะสติแตก หวั่นไหว หวาดกลัว กลับตรงกันข้าม จิตบอกกับตัวเองว่า “เจ็บเป็นเจ็บ ตายเป็นตาย หนีกรรมไม่ได้” แล้วตั้งสติรู้ไว้ที่จิต พร้อมที่จะรับกับเหตุการณ์ทุกรูปแบบที่จะเกิดขึ้นโดยไม่ไปปรุงแต่งว่าจะต้องเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วมาหนนี้ จิตที่สะสมพลังสติสัมปชัญญะมาอย่างค่อนข้างต่อเนื่องก็สามารถเอาตัวรอดได้ในยามคับขัน เป็นไปเองอย่างอัตโนมัติ เพราะฉะนั้น จงเชื่อฟังและเดินตามรอยที่พ่อแม่ครูอาจารย์พาทำเถิด ทุกระบบเข้าที่ภายในวันเดียว
ด้วยเมตตาบารมีอันหาที่สุดไม่ได้ของพ่อแม่ครูอาจารย์ อันมีองค์หลวงตามหาบัวเป็นปฐม ทุกระบบในร่างกายที่ระส่ำระสายมาก ทั้งระดับน้ำตาลที่ก็ว่าขึ้นสูงปรี๊ด เกลือแร่ที่วูบต่ำลงอย่างฉับพลัน ความดันที่ต่ำจนน่ากลัว กลับล้นเข้าสู่สภาวะปกติภายในวันเดียว วันรุ่งขึ้นหมอจึงอนุญาตให้กลับบ้านได้ แต่ข้าพเจ้าขออยู่ต่ออีกวัน เพราะปวดตามเนื้อตัวมาก คงจะเกิดจากแรงดิ้น วันต่อมาหมอก็สั่งให้กลับบ้านอีก ข้าพเจ้าดื้อขอต่ออีกวัน หมอจำยอมอนุโลม โดยบอกว่า “วันเดียวจริง ๆ นะ ต่อไม่ได้อีกแล้ว เพราะไม่รู้จะรักษาอะไรอีก เนื่องจากทุกอย่างเป็นปกติหมดแล้ว” ทำงานเพื่อพระศาสนาทันที
ทันทีที่ถึงบ้าน ข้าพเจ้าติดต่อโรงพิมพ์ชวนพิมพ์ที่ส่งต้นฉบับหนังสือ “ฐานิยบูชา 2548” ไว้ก่อนเกิดเหตุ ให้ส่งต้นฉบับที่เรียงพิมพ์แล้วมาให้ตรวจด่วน เพราะยังไม่ได้ตรวจเลยสักรอบ (ปกติจะตรวจอย่างน้อย 3-4 รอบ) ตอนนั้นมีความทุกข์ทรมานจากการปวดตามตัวไปทั้งตัวอย่างสาหัสสากรรจ์มาก แต่ก็จำฝืนพยุงกายนั่งตรวจงาน โดยมีกระเป๋าน้ำร้อนอังอยู่ที่หลังตลอดเวลา หนังสือนี้จะต้องเสร็จทันวันที่ 8 กุมภาพันธ์ ซึ่งเป็นวันเกิดของหลวงพ่อพุธ เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 อาทิตย์ สู้เอาจนเสร็จทันเวลา และภูมิใจมากเมื่อได้นำไปถวายหลวงตาในวันที่ไปกราบขอบพระคุณท่านที่วัดป่าบ้านตาด ได้กราบเรียนท่านว่า “นี่คือผลงานเพื่อพระศาสนาชิ้นแรกนับตั้งแต่หลวงตาชุบชีวิตขึ้นมา” ผลงานอีกชิ้นที่ได้ทำหลังจากออกจากโรงพยาบาลได้ไม่ถึงเดือน คือไปบรรยายในงานสัปดาห์มาฆบูชาที่ท้องสนามหลวง เมื่อวันที่ 19 กุมภาพันธ์ แล้ววันรุ่งขึ้นก็เดินทางไปกราบเรียนรายงานหลวงตาที่อุดรฯ กราบเรียนท่านว่า การบรรยายครั้งนี้ได้นำธรรมะของหลวงตาไปพูดด้วย หลวงตาเทศน์ว่า “ประเทศไทยเป็นแผ่นดินที่ประดิษฐานพระพุทธศาสนา ถ้าใครอยู่บนแผ่นดินนี้ นับถือพระพุทธศาสนา แล้วไม่ปฏิบัติ ถือว่าเหยียบแผ่นดินผิด” การเดินทางไปบรรยายครั้งนี้นับว่าทรหดพอควร เพราะนอกจากข้าพเจ้าจะเพิ่งออกจาก I.C.U. มาไม่ถึงเดือน ยังเพิ่งรับการผ่าตัดเนื้องอกในกระเพาะปัสสาวะมาไม่ถึงอาทิตย์ ตอนที่เขาโทรมาเชิญ พอทราบว่าข้าพเจ้าเพิ่งออกจากโรงพยาบาล ก็เกรงใจจะไม่รบกวน แต่ข้าพเจ้ายืนยันว่า “ไหว” เพราะในขณะนั้นจิตคิดอยู่เสมอว่า “หลวงตาให้ชีวิตเราเพื่อมาสร้างความดีและมาทำประโยชน์ให้พระศาสนา” จึงไม่ลังเลที่จะรับคำเชิญ เดินทางจากโคราชเข้ากรุงเทพฯ ก็เอากระเป๋าน้ำร้อนอังหลังตลอดทาง พอน้ำหายร้อน เจอปั๊มที่ไหนก็ไปขอหรือขอซื้อน้ำร้อนเปลี่ยน ขณะบรรยายบนเวที ก็มีกระเป๋าไฟฟ้าอังหลังไว้เหมือนกัน เพราะมิฉะนั้นจะปวดหลังมาก ใช้กรรมภาค 2
ผ่านพ้นวิกฤตมาได้เพียง 3 อาทิตย์ ก็ต้องเผชิญกรรมเศษกรรมต่อเนื่อง แต่ครั้งนี้ไม่ดุเดือดเท่าครั้งก่อน หลังจากออกจากโรงพยาบาล ข้าพเจ้าก็มีความผิดปกติ คือ มีเลือดซึม ๆ ออกมาตลอดเวลา ไม่ทราบว่ามาจากมดลูกหรือกระเพาะปัสสวะ เป็นอยู่นาน 3 อาทิตย์ ก็ไม่หยุดสักที วันที่ 13 กุมภาพันธ์ บรรยายอบรมนักเรียนเสร็จ ก็บอกว่า “ครูจะต้องไปหาหมอ” แล้วฝากงานไว้กับทีมงาน หมอตรวจเช็คพบว่ามีเนื้องอกที่กระเพาะปัสสวะ แต่เพิ่งงอกมานิดเดียวจึงให้กลับบ้านก่อน แต่ข้าพเจ้าเห็นว่าช่วงนั้นว่างงานอบรมพอดี จึงบอกหมอว่า “ admit เลย ” หมอย้ำว่า “ ถ้า admit ตอนนี้ (ประมาณเที่ยงครึ่ง) 5 โมงเย็นผ่าเลยนะ” ข้าพเจ้าตกลงทันที แล้วโทรไปบอกทางวัดให้หาคนมานอนเป็นเพื่อนและจัดเสื้อผ้ามาให้ด้วย พอดีนึกได้ว่าได้นัดท่านปิ๋วไว้ ว่าวันที่ 17 จะไปกราบหลวงตา จึงโทรไปเรียนว่าอาจจะต้องเลื่อนนัดเพราะต้องผ่าตัดอีก ท่านปิ๋วถามว่า “เมื่อไร” เรียนท่านว่า “วันนี้แหละค่ะ ตอน 5 โมงเย็น ไม่ต้องกราบเรียนหลวงตาหรอก เกรงจะเป็นการรบกวนท่าน” วันรุ่งขึ้น ประมาณตอนเพล ท่านปิ๋วเมตตาโทรมาถามอาการ แล้วบอกว่า “ได้กราบเรียนหลวงตาว่าคุณจะผ่าตัดตอน 5 โมงเย็น พอถึงเวลา 4 โมงเย็น หลวงตามองนาฬิกาแล้วพูดว่า “เหลืออีก 1 ชั่วโมงนะ” ข้าพเจ้ามีความปลาบปลื้มปีติในความเมตตาขององค์หลวงตามาก มั่นใจว่าท่านเมตตาดูแลเราจนถึงที่สุด ไม่วางเลย การผ่าตัดครั้งนี้จึงผ่านฉลุย ข้าพเจ้าไม่มีทุกขเวทนาใด ๆ เลย ก่อนผ่าตัดที่ต้องฉีดยาบล็อกหลัง หรือหลังผ่าเมื่อหมดฤทธิ์ยาแล้ว ทั้ง ๆ ที่หมอเตือนไว้ล่วงหน้าว่าอาจจะมีอาการอย่างนั้นอย่างนี้ ข้าพเจ้าก็ไม่เป็นอะไรสักอย่าง เรียนท่านปิ๋วว่า “เหมือนมานอนเล่นที่โรงพยาบาล” เนื้องอก กับคุณไสย เกี่ยวข้องกันไหมนี่
การป่วยเป็นเนื้องอกกับการถูกคุณไสยไม่น่าจะเกี่ยวข้องกันเลย เพราะเนื้องอกเกิดจากความผิดปกติของการแบ่งตัวของเซลล์ ไม่ใช่เพราะมีใครเสกเนื้อเข้าท้องสักหน่อย แต่กรณีของข้าพเจ้าไม่รู้มันไปเกี่ยวข้องกันได้อย่างไร เรื่องมีอยู่ว่า หลังจากผ่าตัดเนื้องอกได้ 1 สัปดาห์ ข้าพเจ้าก็ปัสสาวะออกมาเป็นเลือดก้อน ๆ ลิ่มใหญ่ ๆ 2 รอบ รอบละ 3 วันใหญ่ ช่วงเย็น 3 วัน ช่วงเช้าอีก 3 วัน ที่ใช้มาตรวัดเป็น ‘วัน’ ก็เพราะพอเห็นความผิดปกติว่าปัสสาวะออกมาเป็นเลือด ก็เลยเอาขันมารองเพราะอยากดูให้ชัด ๆ วันรุ่งขึ้นเป็นวันที่หมอนัดพบเพื่อติดตามผลพอดี พอเล่าอาการให้คุณหมอฟัง คิดว่าคุณหมอจะตกใจ กลับบอกว่า “ดี ! ดี !” แล้วก็ไม่ได้อธิบายว่ามันดีอย่างไร ข้าพเจ้าก็ขี้เกียจถาม เพราะหมอบอกว่าดี ก็ดีกว่าไม่ดีใช่ไหม อีก 3 วันต่อมา ผู้หวังดีที่เชื่อว่าข้าพเจ้าถูกคุณไสย เพราะท่านเองก็เคยมีประสบการณ์ตรงมาก่อน ก็พาข้าพเจ้าไปพบบุคคลหนึ่งซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการแก้คุณไสย เพื่อตรวจเช็คให้แน่นอนว่า “ของออกหมดหรือยัง” วิธีการของท่านผู้นี้ไม่มีพิธีกรรมใด ๆ เลย ใช้สมาธิจิตล้วน ๆ พอกำหนดจิตเสร็จ ท่านก็ถามข้าพเจ้าว่า “มีเลือดออกมาใช่ไหม ไม่ต้องตกใจ ของกำลังออก แล้วก็จะมีเลือดออกมาอีก เพราะมันยังออกไม่หมด” ข้าพเจ้ารู้สึกแปลกใจ เพราะยังไม่ได้เรียนท่านเลยว่าปัสสาวะออกมาเป็นเลือด เพราะคิดว่ามันเป็นผลพวงของการผ่าตัดเนื้องอก ไม่เห็นจะเกี่ยวอะไรกับคุณไสยเลย แล้วท่านก็อธิบายต่อว่า “คุณไสยที่โดนนี้เป็นวิชาเขมร เขาทำก้อนเลือดมาใส่เราไว้ 5 ก้อน ตอนนี้ออกไปแล้ว 3 ก้อน ก้อนเลือดนี้หากมันวิ่งขึ้นด้านบนของร้างกายได้จะต้องตาย หรือหากไม่ตายก็จะเสียสติอย่างเอาคืนไม่ได้เลย งานนี้เขากะเอาถึงตายนะ” ท่านบอกว่าวิชาแก้ที่ท่านเรียนมาก็เอาไม่อยู่ ไม่สามารถแก้ได้ ท่านจึงรำพึงแล้วรำพึงอีกไม่รู้กี่รอบว่า “ตุ๊กมันมีบุญ ที่หลวงตาบัวช่วยไว้ ๆ ๆ เพราะถ้าไม่ใช่ระดับหลวงตา ก็ไม่มีใครเอาอยู่” แล้วอยู่ ๆ ข้าพเจ้าก็หวนคิดถึงคุณตานาคที่ทักไว้ก่อนเกิดเหตุ 1 วัน ว่า “มีคนทำคุณไสยเขมรใส่ มีก้อนกลม ๆ อยู่ในท้อง ห้ามผ่าตัดเด็ดขาด เพราะพิษจะกระจายไปทั่วตัวแล้วต้องตายในที่สุด ทางแก้มีเพียงให้พระที่มีภูมิธรรมสูงสลายให้” ตามที่ข้าพเจ้าได้เล่าไว้แล้วในตอนต้น บทสรุป ข้าพเจ้าจะไม่ขอสรุปหรอกว่า ตกลงข้าพเจ้าโดนคุณไสยหรือป่วยเพราะความผิดปกติของร่างกายธรรมดา ไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุใดก็ตาม สภาพที่ปรากฏคือ อาการปางตายหรือเฉียดตายก็ว่าได้ ที่รอดมาได้ก็เพราะเมตตาบารมีขององค์หลวงตามหาบัวแท้ ๆ เมื่อได้ชีวิตใหม่มา ข้าพเจ้าจึงมีความสังวรระวังมากขึ้น มุ่งมั่นสร้างความดีโดยไม่ย่อท้อ เพราะจิตจะคอยเตือนอยู่เสมอว่า “หลวงตาเมตตาช่วยชีวิตเรา เพื่อให้โอกาสเราได้สร้างความดีเพิ่ม ไม่ใช่ให้มาทำความชั่ว โดยเฉพาะอย่างยิ่ง จะต้องทำประโยชน์และรับใช้พระพุทธศาสนาด้วยความเสียสละและทุ่มเท” บางครั้งเมื่อข้าพเจ้าเหนื่อยกับงาน พอคิดจะท้อ ก็ต้องรีบหยุด เพราะเมื่อระลึกถึงองค์หลวงตา ก็ให้นึกละอายใจว่าเราอายุเพียงเท่านี้ (แค่ประมาณครึ่งหนึ่งของหลวงตา) จะมาบ่นเหนื่อยทำไม ท่านยังไม่เคยท้อให้เราเห็นเลย ท่านสงเคราะห์โลกทั้งด้วยธรรมและวัตถุโดยไม่เห็นแก่เหน็ดแก่เหนื่อย เพียงเฝ้าดูภารกิจแต่ละวันของท่านก็ยังเหนื่อยแทน นึกอัศจรรย์ว่าด้วยวัยขนาดนี้ท่านทำได้อย่างไร ตอนเช้า 6.30 น. ก็ลงมาที่ศาลาแล้ว เพื่อให้ธรรม สนทนาปราศรัยและโมทนากับผู้มาทำบุญ ซึ่งเราจะได้ยินคำว่า “พอใจ ๆ” วันละไม่รู้กี่ครั้งกี่หน นอกจากนี้ คำว่า “เอ้า เราให้” มักจะตามมาด้วยเสียงแซ่ซ้องว่า “สาธุ” กึกก้องศาลา เพราะ “เราให้” แต่ละครั้ง คือการอนุมัติเงินซึ่งส่วนใหญ่มักจะเป็นหลักล้าน เพื่อจัดหาเครื่องมือแพทย์บ้าง รถพยาบาลบ้าง อาคารบ้าง ที่ผู้แทนจากโรงพยาบาลต่าง ๆ มาขอความเมตตาเกือบจะทุกสัปดาห์ การอนุมัติแต่ละครั้งหลวงตาใช้เวลาพิจารณาเพียง 2-3 อึดใจเท่านั้น นอกจากนี้ ยังมีการอนุมัติรายย่อยให้แก่ชาวบ้านที่หมดที่พึ่ง มาขอค่ารักษาพยาบาล โดยเฉพาะเกี่ยวกับผ่าตัดตาที่มองไม่เห็นให้กลับเห็นได้ใหม่ โดยหลวงตาจะถามก่อนว่า ถ้าผ่าแล้วจะมองเห็นอีกแน่นะ ถ้ามีโอกาส ท่านจะสงเคราะห์โดยไม่ลังเล นอกจากให้ค่าผ่าตัดทั้งหมดแล้ว ยังแถมค่าใช้จ่ายระหว่างการเดินทางไปรักษาอีก เมื่อเสร็จกิจวัตรที่ศาลาช่วงเช้าแล้ว ท่านแทบไม่ได้พัก ออกเดินทางไปสงเคราะห์โรงพยาบาลและวัดต่าง ๆ ทั้งที่ใกล้และไกล เดินทางไปกลับในวันเดียว บางแห่งระยะทางไปกลับเกือบ 1,000 กม. หากเป็นช่วงที่ท่านพำนักที่สวนแสงธรรม กลับมาถึง ตกค่ำก็แสดงธรรมโปรดญาติโยมอีก ทุกเวลานาที ทุกลมหายใจ ท่านทำเพื่อโลก เพราะองค์ท่านเองไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว ท่านพูดอยู่เสมอว่า “วัดป่าบ้านตาด มีแต่แบ ไม่มีกำ ได้เท่าไหร่ ออกหมด” ออกหมดจริง ๆ ดังที่ท่านพูด เมื่อประมาณต้นปี 2551 นี้ ปรากฏว่าเงินในบัญชีวัดป่าบ้านตาดเหลือติดบัญชีอยู่ 2-3 บาท ลูกศิษย์ลูกหาที่ทราบข่าวจึงได้โอกาสสร้างทานบารมีครั้งใหญ่ด้วยการเพิ่มเติมปัจจัยในบัญชีเพื่อให้หลวงตาได้สงเคราะห์โลกต่อไป ส่วนบุญกุศลนั่นเล่า ท่านยังต้องการอยู่หรือ ท่านจะเอาไปทำไมในเมื่อท่านอยู่เหนือบุญ - บาปแล้ว “เราไม่หวังอะไรอีกแล้วในโลกนี้ เราทำอยู่นี้เราทำเพื่อประโยชน์ให้โลกต่างหาก สงสารโลก เราทำเพื่อโลก เราไม่ได้ทำเพื่อเรา เราพอแล้ว เราไม่หวังอะไรในโลกนี้ ตายแล้วเราจะไม่กลับมาเกิดอีกแล้ว นี่เป็นชาติสุดท้ายของเรา” นี่คือเมตตาธรรมอันบริสุทธิ์ แล้วพวกเราล่ะ บุญกุศลก็ยังกระพร่องกระแพร่ง ยังดิ้นรนอยู่ในกองทุกข์ ในเมื่อเราโชคดีนักหนาได้เกิดเป็นมนุษย์ อยู่ใต้ร่มเงาพระพุทธศาสนา ร่มเย็นอยู่ในบารมีธรรมขององค์หลวงตา จะมัวประมาทอยู่ทำไม หากท่านต้องตายไปเดี๋ยวนี้ จะมีโอกาสได้พบ “ความอัศจรรย์” ดังที่ข้าพเจ้าได้พบหรือ แม้ข้าพเจ้าเองก็เชื่อว่า “ความอัศจรรย์” ที่ประสบในครั้งนี้คงไม่มีอีกแล้ว หากยังต้องเกิดต้องตายอีก ก็ขอให้เป็นการเกิดตายที่มีคุณค่า ดังที่องค์หลวงตาได้ให้โอวาทธรรมไว้ว่า “ เกิดแล้วตายเล่า ตายแล้วเกิดเล่า ก็ไม่ผิดอะไรกับวัตถุต่าง ๆ ที่เกิดที่ตายกันเกลื่อนโลกอันนี้ ถ้าไม่เสาะแสวงหาสารธรรมเข้าสู่จิต ซึ่งเป็นสาระสำคัญ คือการปรับปรุงจิตของตนให้เข้าสู่ระดับอันควร สัมผัสสัมพันธ์ธรรมแท้ได้ด้วยการปฏิบัติเสียแต่บัดนี้ ” ดร. ตุ๊ก
|