Monday, 28 October 2013 01:14 |
ตาสว่างแล้ว
ข้าพเจ้าเป็นคนที่ชอบการสนุกสนานมาก ชอบจัดงานวันเกิดที่สุด ชอบการร้องเพลง ชอบกินเค้ก จึงได้แต่ภาวนาในใจว่า เมื่อไหร่จะถึงวันเกิดสักที ถ้าคุณพ่อคุณแม่ลืมวันเกิดของข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจะโกรธมาก จะไม่พูดไม่คุยกับท่าน แต่ท่านก็ไม่เคยลืมเลยสักครั้ง และอีกอย่างที่ข้าพเจ้าหวัง คือ ของขวัญวันเกิด ซึ่งท่านจะซื้อให้ทุกครั้ง ตามคำขอของข้าพเจ้า แต่พอข้าพเจ้าได้มา “วัดวะภูแก้ว” ท่านสอนให้ข้าพเจ้าได้รู้ว่า วันเกิดของเรา คือ วันตายของแม่ ข้าพเจ้ารู้สึกผิดที่คิดเอาแต่ความสนุกสนานเป็นหลัก โดยไม่เคยคิดว่า พ่อแม่จะรู้สึกอย่างไร จะเอาเงินมาจากไหน ตอนนี้ก็เพิ่งรู้ว่าสิ่งที่ทำไปนั้นเป็นเรื่องที่ผิด ข้าพเจ้าคิดว่าข้าพเจ้าเดินหลงทาง แต่ตอนนี้พบทางสว่างแล้ว ถ้าวันเกิดของข้าพเจ้าเวียนมาอีกครั้ง ข้าพเจ้าจะร้อยพวงมาลัยกราบเท้าคุณพ่อและคุณแม่ นางสาวอโนทัย ระหาญนอก ชั้น ม.4/9 โรงเรียนลำปลายมาศ เขียนไว้ วันที่ 15 ตุลาคม 2556
ธรรมะจากการเดิน ในเบื้องแรกขอขอบคุณรองอัญชลี วรรณไกรโรจน์ที่ได้ชักชวนให้ได้มาเข้าร่วมการอบรมในครั้งนี้ เพราะเพิ่งได้แจ้งประจักษ์ความจริงของพระพุทธศาสนาอย่างถูกต้องในครั้งนี้เอง จากการให้ความรู้ของท่านวิทยากร คือ ท่านอาจารย์ ดร. ดาราวรรณ เด่นอุดม คุณครูประกาย คุณครูเพ็ญพรและคณะ เมื่อก่อนมาตั้งใจว่า ถ้ามาแล้วจะปฏิบัติให้ดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ กิจกรรมแรกที่ได้เดินจงกรม เป็นกิจกรรมที่สร้างความปิติให้แก่ข้าพเจ้ามาก เพราะทำให้เกิดสติและปัญญาพิจารณาว่าทุกสิ่งมีความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปเป็นธรรมดาของชีวิต เหมือนกับการเดินจงกรมคือ ยก ย่าง เหยียบ อ้อ! ชีวิตของเราเป็นเช่นนี้เอง ทำให้นึกถึงคุณแม่ว่า ท่านได้ยกเราขึ้นมาจากการไม่รู้อะไร เลี้ยงดูเราอย่างดี เมื่อสมควรก็ส่งเสริมให้เรียนหนังสือ เพื่อให้เราย่างเข้าสู่คนมีความรู้ และจะได้นำความรู้มาใช้ในการดำเนินชีวิต ให้พึ่งตนเองได้และสามารถช่วยผู้อื่นได้ด้วย แต่ในการดำเนินชีวิตย่อมมีปัญหาและอุปสรรค เราต้องมีสติว่าจะผ่านพ้นไปได้อย่างไร เพราะปัญหาย่อมมีทางออกและมีทางแก้ไข โดยเปรียบได้ว่าเหยียบมันไว้ เพื่อก้าวไปข้างหน้า พอพิจารณาได้ น้ำตาก็ไหลพรั่งพรูออกมา จึงนึกสงสัยว่าทำไมคิดได้แค่นี้จึงต้องร้องไห้ด้วย แล้วก็ได้คำตอบว่า นี่คืออาการอย่างหนึ่งของการเจริญสติจนเกิดปัญญา รู้ธรรมเห็นธรรม
นางกานดา วิทยรัตน์ โรงเรียนลำปลายมาศ เขียนไว้ วันที่ 15 ตุลาคม 2556 ขอเป็นครูที่ดี การเข้าร่วมอบรมโครงการพัฒนาจิต สำหรับตัวข้าพเจ้ามาเป็นครั้งที่สอง แต่มาในรูปแบบที่ต่างกัน มาครั้งแรก คือ เมื่อประมาณ 10 ปีที่ผ่านมา ตอนนั้นมาในสภาพของนักเรียน ยอมรับเลยว่า หลังจากผ่านการอบรมแล้วตัวข้าพเจ้า และเพื่อน ๆ มีความประพฤติที่ดีขึ้นอย่างเห็นชัดเจน วัดวะภูแก้วยังอยู่ในความจดจำเสมอ และคิดอยู่เสมอว่าขอให้มีโอกาสมาที่นี่อีก คำกล่าวที่เล่ากันว่า “ศิษย์ดี เพราะมีครูดี” นั้นเป็นจริง เพราะเมื่อเวลาผ่านล่วงเลยมา ผลของการกระทำสิ่งดี คิดดีต่อผู้อื่น ทำให้เมื่อข้าพเจ้าจบการศึกษาระดับปริญญาตรี ก็มีงานทำทันที และเมื่อเข้าสอบบรรจุครูในโครงการ สควค. ก็สอบได้ทันที สมความตั้งใจ และที่เคยปรารถนา วันนี้ข้าพเจ้าได้มาวัดวะภูแก้วรอบที่ 2 แต่มาในสภาพของครู ภูมิใจและคิดถึงครั้งก่อนที่เคยมา รู้สึกขอบคุณสถานที่แห่งนี้ ขอบคุณครูอาจารย์ที่มอบโอกาสที่ดีเช่นนี้ให้ ความดีของครู ทำให้ข้าพเจ้าระลึกเสมอว่าจะเป็นครูที่ดีต่อไปและทุก ๆ วัน นางสาวจิตภา ทิพเหมือง ครูโรงเรียนลำปลายมาศ เขียนไว้ วันที่ 15 ตุลาคม 2556
ทำดีกับแม่ตอนนี้ดีกว่าเสียน้ำตาในภายหลัง
ดิฉันอาศัยอยู่กับตายายตั้งแต่เล็ก พ่อกับแม่ท่านไปทำงานที่กรุงเทพฯ ดิฉันกับแม่สนิทกันมาก มีอะไรก็คุยปรึกษากันโดยตลอด เพื่อนของดิฉันบางคนว่าดิฉันบ้าไปแล้ว ที่ลูกที่ไหนจะสนิทกับแม่มากขนาดนี้ แต่ดิฉันคิดว่าคนที่บ้านั้นไม่ใช่ดิฉัน แต่เป็นเพื่อนของดิฉันต่างหากที่บ้า จะแปลกตรงไหนเพราะว่ามันก็ถูกต้องแล้วที่ลูกจะต้องมีความรักและมีความรู้สึกดีให้แม่เหมือนที่แม่มีให้เรา แต่ว่าดิฉันก็ไม่ได้ดีเสมอไปเพราะดิฉันก็มีเถียงกับแม่บ้าง แต่มีครั้งหนึ่งที่ทำให้ดิฉันสำนึกได้ ก่อนจะมาเข้าค่ายอบรมที่วัดวะภูแก้ว ดิฉันไม่มีเสื้อสีขาว จึงโทรไปหาแม่ปรับทุกข์ให้ฟังแล้วก็พูดไปเรื่อย ๆ บอกว่าทำไม่แม่ไม่ส่งเสื้อมาให้ ไม่สงสารหนูหรือ แม่ก็บอกว่า แม่หาให้ไม่ได้ เพราะแม่ไม่อยู่ด้วย ทำให้ดิฉันคิดว่าแม่ไม่รักและมีคำ ๆ หนึ่งที่แม่พูดว่า แม่คงอยู่ด้วยอีกไม่นานหรอกนะ เพราะแม่เป็นมะเร็ง ดิฉันตกใจมากร้องไห้ใหญ่เลย จนถึงเวลาที่ได้มาเข้าค่ายที่นี่มันทำให้ดิฉันรู้อะไรหลายอย่างว่า การที่แม่เป็นมะเร็ง และดิฉันร้องไห้นั้น การร้องไห้ไม่ได้เป็นเครื่องหมายที่แสดงถึงความกตัญญู การปฏิบัติตนต่อท่านต่างหากที่สำคัญ คำนี้แหละที่ทำให้ดิฉันคิดได้และจะใช้ช่วงเวลาที่เหลืออยู่ของแม่ทำให้ท่านมีความสุขมากที่สุด ต้องขอบคุณวัดวะภูแก้วที่ให้ดิฉันได้รับรู้อะไรหลายอย่าง เพราะดิฉันไม่อยากจะมาร้องไห้ทีหลังยามที่แม่ท่านได้จากดิฉันไป นางสาวอารีนาฎ แสนหิน โรงเรียนลำปลายมาศ ชั้น/ห้อง ม.4/13 เขียนไว้ ณ วันที่ 15 ตุลาคม 56
กว่าจะคิดได้ก็สายเสียแล้ว
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะมาเข้าค่ายอบรมนั้น ข้าพเจ้าไม่ค่อยเชื่อเรื่องบาปบุญ และสิ่งที่แย่กว่านั้นก็คือข้าพเจ้าไม่เคยคิดที่จะตอบแทนบุญคุณของพ่อแม่เลย และสิ่งที่ข้าพเจ้าเฝ้าบอกกับตัวเองเสมอว่า ทำดีกับแม่เดี๋ยวค่อยทำก็ได้ และสิ่งที่ข้าพเจ้าทำผิดมากที่สุดก็คือ ข้าพเจ้าไม่คิดที่จะทำดีกับพ่อเลย เพราะจากที่ข้าพเจ้าทราบจากคนในบ้าน มีคนเล่าให้ข้าพเจ้าฟังว่าพ่อทิ้งข้าพเจ้ากับแม่ไปตั้งแต่ข้าพเจ้าเกิดได้ 15 วัน ข้าพเจ้าได้ถามแม่ว่า เพราะอะไรพ่อถึงทิ้งเราไป แม่ตอบว่า แม่บอกให้พ่อไปเอาใบเกิดให้ลูก แล้วพอวันถัดไปพ่อเขาก็ไปโดยที่ไม่ได้บอกใครเลย แต่สิ่งที่ข้าพเจ้าได้ฟังมันยังไม่ทำให้ข้าพเจ้าเกลียดพ่อของข้าพเจ้าหรอก วันหนึ่งข้าพเจ้า อายุ 11 ปี ย่าของข้าพเจ้าได้เขียนจดหมายมาหาแม่ข้าพเจ้า และได้เล่าเรื่องราวเกี่ยวกับพ่อว่า ที่พ่อหายไปนั้นพ่อได้ไปหางานทำโดยกลับไปหาย่าที่ จ.ชัยนาท ย่าได้ส่งรูปพ่อของข้าพเจ้ามาด้วย แต่รูปที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นคือรูปที่พ่อพิการ พูดไม่ได้ โดยที่ย่าบอกว่าพ่อประสบอุบัติเหตุ เมื่อปี 2551 และสิ่งที่ข้าพเจ้าสงสัยมาโดยตลอดก็คือ พ่อหายไปตั้ง 11 ปี แล้วทำไมเพิ่งมาส่งข่าวตอนที่ตนเองพิการด้วย นอกจากนี้ย่ายังขอให้แม่หย่ากับพ่อ และในจดหมายบอกว่าอยากเจอข้าพเจ้า ให้พาข้าพเจ้าไปด้วยในวันที่ไปหย่าและพอวันที่หย่ามาถึง แม่ของข้าพเจ้าก็พาข้าพเจ้าไปด้วย แต่ไม่ให้ข้าพเจ้าลงจากรถ แต่ข้าพเจ้าก็แอบตามลงไป เพราะข้าพเจ้าก็อยากลงไปดูหน้าพ่อข้าพเจ้า เพราะข้าพเจ้าไม่เคยเห็นหน้าพ่อเลย สภาพของพ่อที่ข้าพเจ้าเห็นนั้นคือภาพพ่อที่พิการ ณ เวลานั้นข้าพเจ้ารู้สึกสมเพชพ่อมาก เห็นย่ายื่นเงินให้แม่ของข้าพเจ้าน่าจะเป็นเงินจำนวน 3,000 บาท และบอกกับแม่ของข้าพเจ้าว่าเป็นเงินค่าเลี้ยงดูข้าพเจ้า และนั่นคือสิ่งที่ทำให้ข้าพเจ้าเกลียดพ่อและย่าของข้าพเจ้าและหลังจากหย่ากับแม่ได้ประมาณ 2 เดือน พ่อก็เสียชีวิตข้าพเจ้าก็ไม่ได้ไปงานศพพ่อเลยจนกระทั่งเผา ข้าพเจ้าก็ไม่เคยทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ข้าพเจ้าเลย แต่หลังจากที่ข้าพเจ้าได้มาอบรมนั้น ข้าพเจ้าได้รู้สึกผิดเป็นอย่างมากกับสิ่งที่ข้าพเจ้าได้ทำกับพ่อและแม่ ข้าพเจ้าจึงขออุทิศบุญจากการนั่งสมาธิให้กับพ่อและแม่ และกลับไปนี้ข้าพเจ้าจะไปกราบแม่และข้าพเจ้าก็จะอุทิศบุญให้พ่อของข้าพเจ้าตลอดไป
นางสาวพิมภัทรรินทร์ สิริธีรกุล ชั้น ม.4/13 เลขที่ 14 โรงเรียนลำปลายมาศ วันที่ 15 ตุลาคม 2556
ที่นี่มีแต่ รู้ รู้ รู้ ... เมื่อก่อนข้าพเจ้าคิดว่าการทำสมาธิเป็นเรื่องที่งมงาย เพราะนั่งไปก็ไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น แต่พอได้มาที่วัดวะภูแก้วแห่งนี้แล้ว ได้รู้อะไรหลายอย่าง ทั้งการทำสมาธิเพื่อให้จิตสงบได้เข้าถึงพระธรรม เห็นกิเลสและรู้จุดอ่อนจุดแข็งของตัวเอง จากเมื่อก่อนที่นั่งไปก็แค่นั่งเฉย ๆ หลับตาแล้วก็ไม่ได้ภาวนาอะไร แต่พอมาที่นี่ก็ได้รู้ว่าถ้าอยากจิตสงบก็ต้องมีจิตจดจ่อกับคำภาวนาหรืออะไรก็ได้ ที่เราคิดว่าเราจดจ่อโดยที่จิตไม่หลุด และมาที่นี่ยังได้รู้แก่นแท้ของพระพุทธศาสนา จากเมื่อก่อนที่ไม่ค่อยเข้าใจในพระพุทธศาสนาว่าทำไมต้องรู้อะไรมากมายเกี่ยวกับพระศาสดา แต่ตอนนี้เข้าใจแล้ว และการมาปฏิบัติธรรมนั่งสมาธิที่วัดวะภูแก้วแห่งนี้ถึงแม้จิตจะยังไม่สงบพอ แต่ก็ได้รู้จักความอดทน และจดจ่อในสิ่งที่กำลังทำอยู่ในปัจจุบันนางสาวกัญญารัตน์ ซื่อรัมย์ ชั้น ม.4/14 โรงเรียนลำปลายมาศ วันที่ 15 ตุลาคม 2556
|
Last Updated on Saturday, 23 November 2013 01:28 |