ขาด facebook ไม่ถึงตาย แต่ขาดธรรมชีวิตแย่แน่ ๆ พอรู้ว่าต้องเข้า 4 คืน 5 วัน ข้าพเจ้าแทบขาดใจเพราะกลัวไม่ได้เล่น facebook และหลายคนเขาเล่ากันว่าวัดนี้ผีดุ และเฮี้ยนมาก เดินทางเข้ามาถึงในตัววัดข้าพเจ้าร้องไห้และกลัวมากเพราะข้าพเจ้ากลัวผี นั่งสมาธิครั้งแรกข้าพเจ้าปวดขามาก ก็เลยภาวนาว่า “แม่เคยปวดกว่านี้” ด้วยเหตุที่เราต้องจดจ่ออยู่กับการภาวนา ข้าพเจ้าก็เลยลืมร่างกายภายนอก ลืมอาการปวดขา อาการปวดหลังไปโดยสิ้นเชิง พอได้นั่งบ่อย ๆ ขึ้นก็เริ่มชินกับอาการพวกนี้ เวลาอาจารย์ให้ถอนจิตจากสมาธิ ข้าพเจ้าไม่ค่อยอยากถอนเท่าไร แต่ก็ต้องถอนเพราะกลัวไม่มีเพื่อน กลัวเพื่อน ๆ ในกลุ่มต้องรอและเรื่องกลัวผีที่ข้าพเจ้ากลัวสุด ๆ ข้าพเจ้าก็ลืมสนิทเลย อาจารย์ ดร. บอกว่า วัดวะภูแก้วมีเทพเยอะเราต้องสำรวม ข้าพเจ้าก็สำรวมได้เป็นบางเวลาและลืมเรื่องผีได้ ก็เพราะข้าพเจ้าคิดว่าที่วัดนี้เทพเยอะ ท่านต้องปกปักรักษาคุ้มครองเราแน่ ถ้าเราเป็นเด็กดีพอ การมาเข้าค่ายที่นี่ตอนแรกที่คิดว่า 5 วันไม่ได้เล่น facebook ลงแดงตายแน่ ๆ แต่พอได้นั่งสมาธิ ทำกิจกรรมในวัด ข้าพเจ้าพึ่งรู้ว่าเราขาดมันก็ได้ ไม่เห็นเป็นอะไรเลย ถ้าข้าพเจ้ามัวแต่เล่น facebook ไม่ได้สนใจ ไม่ได้มาที่นี่ ชีวิตข้าพเจ้าก็คงแย่แบบที่เป็นอยู่ต่อไป ที่วัดวะภูแก้วให้อะไรเราหลายอย่าง ให้เราได้รู้ซึ้งถึงพระพุทธศาสนา ชีวิตดีขึ้น วันนี้เป็นวันสุดท้ายแล้วที่จะอยู่ที่นี่ เวลาแป๊บเดียวในการมาทำความดีที่นี่รู้สึกว่า 5 วัน ทำไมมันเร็วจัง ข้าพเจ้าต้องไปจากที่นี่แล้ว ข้าพเจ้าอยากให้ทุกคนได้ลองมาสัมผัสดู วัดในความคิดวัยรุ่นมันน่าเบื่อ แต่ถ้าท่านได้ลองมาสัมผัสดู ท่านจะได้รู้ว่า ศาสนามีอะไรดีกว่าที่ทุกท่านคิด
นางสาวศริญญา สิทธิเวช ม.4/1 โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร เขียนไว้ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2556
ฉันทำผิดต่อพ่อมาก เมื่อมาถึงวัด วิทยากรก็เริ่มมานั่งสมาธิฟังธรรมมั่ง สวดมนต์มั่ง สำหรับตัวดิฉันเอง ดิฉันคิดว่ามันน่าเบื่อมากปวดขาก็ปวด ปวดหลังก็ปวด อยากจะลุกยืนและวิ่งหนีไปให้ไกล ๆ แต่แม่สอนฉันให้มีความอดทน ทำให้ดิฉันสามารถนั่งสมาธิ นั่งสวดมนต์ โดยไม่ได้ลุกหนีไหนเลย ห้วงน้ำก็ไม่ไปนั่งอยู่ในศาลาจนพิธีทั้งหมดเสร็จสิ้น วันที่ 4 ของการอบรม ความปวดเมื่อยเริ่มจางหายไป เหลือเพียงแต่นั่งตัวเบาพลิ้ว ดิฉันมีความสุขมาก และได้ความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวันมากมาย อีกความทุกข์ทรมานในตอนแรก กลายเป็นความสุข สบายใจ ในตอนหลัง โดยเฉพาะวันที่ 27 พฤษภาคม 2556 อาจารย์ได้ให้ความรู้เรื่องพระคุณของคุณพ่อคุณแม่ ดิฉันทนไม่ได้จนน้ำตาลไหลออกมา ดิฉันสำนึกผิดและคิดได้ คุณแม่ไม่เท่าไหร่ คุณพ่อนะสิ ฉันทำบาปกับท่านมามาก ท่านมีอายุมากแล้ว คุณพ่อทำตัวไม่ดี ดิฉันไม่ชอบ และผิดหวังในตัวท่านมาก ท่านกินเหล้าและทะเลาะกับแม่เป็นประจำ เวลาท่านเจ็บป่วยดิฉันก็ไม่ไปดูแลท่าน ดิฉันอาย จนไม่กล้าไปไหนมาไหนกับท่าน เพราะท่านแก่ และทำตัวไม่น่าคบหา พอได้มาวัดวะภูแก้ว ดิฉันสำนึกผิดอย่างมหันต์ ดิฉันอยากกลับไปขอโทษท่าน เพราะท่านต้องการคนดูแล ต้องการความรักจากลูก ต้องการความอบอุ่นจากลูก ดิฉันจะกลับไปขอโทษท่านทันที่กลับถึงบ้าน และถ้าเป็นไปได้ ถ้าดิฉันได้เป็นพยาบาลทหารตามความฝัน มีเงินเดือน ดิฉันจะนำเงินส่วนหนึ่งมาบริจาคแก่วัดวะภูแก้วตามกำลังศรัทธา
สัญญาใจของ นางสาวคุณัญญา อินทารา โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร ชั้น/ห้อง ม.4/4 เขียนไว้ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2556 จุดเปลี่ยน ดิฉันก็เป็นนักเรียนคนหนึ่งของโรงเรียนที่ดื้อมาก ใครบอกใครสอนไม่ค่อยได้ ดิฉันจะไม่ฟังใคร หัวดื้อ ดันทุรัง ทำตามใจตัวเอง และวันหนึ่งบุญนำพาทำให้ฉันมาที่นี่โดยที่ไม่คิดไม่ฝันมาก่อน ในตอนแรกฉันคิดว่ามาทำไม อากาศก็ร้อน เหนื่อยจะตาย จินตนาการและความคิดของฉันในตอนนั้นแย่มาก ๆ ฉันคิดว่าวัดคงอยู่ในเมืองที่มีรถรามากมาย แต่เมื่อล้อรถบัสได้เคลื่อนเข้ามาสู่วัดวะภูแก้ว ความรู้สึกของฉันก็เปลี่ยนไป การพูดมากและหัวดื้อของฉันสงบได้อย่างไม่รู้ตัว มีอาการสำรวมมากขึ้น ฉันขอบอกว่า 2-3 วันแรกฉันเบื่อมาก แค่ความสามารถของท่านวิทยากรได้ขัดเกลาและละลายพฤติกรรมเก่า ๆ ของฉันให้จางหายไป การนั่งสมาธิของฉันดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ตั้งแต่ยก 9 เป็นต้นไป ฉันนั่งได้ดีมาก จนถึงยกที่ 12 ซึ่งเป็นยกสุดท้ายฉันนั่งได้นานกว่าคนอื่น นั่งจนลืมไปเลย เพื่อนเขาออกจากสมาธิไปนานแล้ว แต่ฉันก็ยังนั่งอยู่ บุญพาวาสนาส่ง ทำให้ฉันได้มีโอกาสมาที่วัดวะภูแก้ว ซึ่งเป็นวัดที่ฉันชื่นชอบ วัดที่สามารถขัดเกลาสิ่งที่ไม่ดีให้ดีขึ้นได้ ทำให้ฉันได้เรียนรู้อะไรมากมาย ทั้งในทางโลกและทางธรรม สยบความดื้อดึงของฉันลงได้อย่างไม่น่าเชื่อ ฉันได้รับสิ่งที่ดีอย่างไม่ขาดสาย ทำให้เด็กเซอะซะคนหนึ่งรู้จักคุณค่าอันมหาศาลของคำว่า “ธรรมมะ” ซึ่งฉันจะไม่มีวันลืมสถานที่ที่ทำให้ฉันมีจุดเปลี่ยนไปในทางบวก
นางสาวนฤมล เมืองแก้ว โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร ชั้น/ห้อง ม.4/6 เขียนไว้ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2556 ประสบการณ์ การปฏิบัติธรรมของนักเรียน ดิฉันขอบอกตามความจริงว่าดิฉันไม่ชอบการเข้าค่าย อบรมทุกอย่าง แต่วันแรกที่ดิฉันเข้ามาวัดวะภูแก้ว ดิฉันประทับใจมากคือสิ่งแวดล้อมรอบ ๆ วัดซึ่งเป็นธรรมชาติมาก ๆ แต่อย่างไรก็ตามฉันก็ไม่ชอบการมาอยู่ค่ายเหมือนเดิม วันที่ 2 โทรศัพท์มือถือของฉันหาย ดิฉันทำใจไม่ได้ได้แต่ร้องไห้กับเพื่อน ๆ จนเพื่อนของฉันรำคาญ พอวันที่ 3 ท่านวิทยากรก็บอกว่า “นั่งสมาธินะจะได้เห็นจิตของเรา” ดิฉันก็ทำตามแต่ไม่ได้ผล ดิฉันพยายามนึกเอาว่าเห็นโทรศัพท์ของเราอยู่ไหนเพื่อจะได้คืนมา ดิฉันเสียดายเพราะเป็นของพ่อของดิฉันเป็นคนซื้อให้ หลังจากทำสมาธิไม่ได้ดิฉันก็ได้แต่คิดถึงพ่อและแม่ และทำให้ดิฉันนั้นได้ย้อนคิดถึงการกระทำของตนเองที่เคยได้ทำกับพ่อและแม่ไว้ คือ ดิฉันนั้นด่าว่าท่านทั้งสองให้เสีย ๆ หาย ๆ และเคยตบตีท่านด้วยเพราะตอนนั้นฉันคิดว่าฉันไม่ใช่เด็กแล้ว พ่อกับแม่จะมาด่าว่าฉันทำไมหนักหนา ก็แค่หนีออกไปเที่ยวเฉย ๆ เดี๋ยวเดียวก็กลับบ้านแล้ว งานบ้านก็ทำให้แล้วจะเอาอะไรหนักหนา แต่สิ่งที่ฉันทำและคิดนั้นมันผิดแสนผิดมาก จนดิฉันไม่รู้จะไถ่โทษอย่างไรถึงจะหายบาปที่เคย ทำให้พ่อและแม่เจ็บกาย เจ็บใจ เสียน้ำตา จนมาถึงวันที่ 4 นั้น ฉันได้อ่านหนังสือเรื่องความรัก ฉันนั้นอ่านไปอ่านไปจนมาถึงช่วงช่วงหนึ่งของหนังสือ เขาได้อธิบายว่าที่พ่อแม่ดุด่าว่าเราที่เรานั้น เช่น กลับบ้านไม่ตรงเวลาก็เพราะท่านเป็นห่วง และการที่ท่านไม่ชมเราชมแต่ลูกของคนอื่นนั้นก็เพราะไม่อยากให้เราดีแตกก่อนจะทำดีได้ตลอด จึงทำให้ดิฉันนั้นเริ่มตั้งใจนั่งสมาธิภาวนาเพื่อที่ฉันจะได้ลดบาปที่ทำกับพ่อแม่มา
ดิฉันจึงอยากจะบอกว่าคำที่ท่านวิทยากรนั้นบอกเล่า “ทำบุญล้าง บาปไม่ได้ แต่หนีบาปได้” ดังนั้นเราควรจะต้องทำดีตั้งแต่วินาทีนี้เลยเราจะได้มีบุญ
สัญญาใจของ นางสาวกุลรัตน์ ดีขุนทด โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร ชั้น/ห้อง ม.4/7 เขียนไว้ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2556 ยกบุญทั้งหมดให้พ่อไปสวรรค์ ตอนแรกเพื่อนชวนว่าไม่ต้องไปหรอก ไปทำไมเหนื่อยก็เหนื่อย ลำบากก็ลำบาก แต่พอถึงวันมาผมเก็บเสื้อผ้าใส่กระเป๋ามาเลยครับ ไม่รู้ทำไมเหมือนข้างในใจมันสั่งว่าจะลำบากขนาดใหญ่มากแค่ไหนก็ต้องมา วันก่อนที่ผมจะมาเข้าค่าย ผมเพิ่งเผาศพพ่อไปครับ ผมอยากทำบุญให้พ่อถึงพ่อที่เสียไปจะไม่ใช่พ่อแท้ ๆ ของผม แต่ผมก็รักพ่อมากเหมือนพ่อแท้ ๆ ของผมเลย ผมตั้งใจนั่งสมาธิ เพื่ออุทิศบุญกุศลให้พ่อ แม้จะน้อยจะมากขนาดไหน ผมคิดในใจว่าผมจะไม่เอาบุญนั้นเลย ผมนั่งสมาธิเสร็จ ผมอุทิศบุญกุศลทั้งหมดไปให้พ่อทั้งหมดเลยครับ ผมไม่เอา ผมอยากให้พ่อผมขึ้นสวรรค์ครับ อุทิศทุกวันไม่ว่าจะนั่งสมาธิเดินจงกรมหรือสวดมนต์ทุกอย่าง ผมอุทิศกุศลผลบุญให้ไปถึงพ่อผมทั้งหมดเลยครับ ที่จริงแล้วยังมีอีกเรื่องคือแฟนที่กำลับคบกับผมเขาก็เพิ่งทิ้งไป แต่ก่อนนี้ถ้าเห็นแฟนคุยกับใครหรือนอกใจผมรู้สึกเหมือนจะฆ่าคนได้หลาย ๆ คนเลยครับ ผมใจร้อนมาก แต่พอมาวัดวะภูแก้ว ผมใจเย็นเลยครับ มันมหัศจรรย์มาก จากคนใจร้อนเหมือนไฟกลับกลายมาเป็นน้ำอุ่น ๆ เลยครับ ผมเริ่มมีความหวังกับชีวิต ผมเริ่มคิดได้ เริ่มทำใจได้มากขึ้น ดร.ดาราวรรณท่านได้สอนว่าคงเป็นกรรมที่ผมคงทำไม่ดีกับคนอื่นไว้ ผมคงพรากลูกนกลูกกาจากพ่อแม่เขาไป ชาตินี้เขาจึงกลับมาเอาคืน ชาตินี้ผมคงทำบาปไว้มากจริง ๆ มีพ่อ-แม่ พ่อก็ตายจากไปหรือเขามาเอาคืนอีกชาตินี้ผมจะทำดีให้มาก ๆ จะไม่พรากสัตว์ หรือทำสิ่งที่ผิดศีลธรรม ผมจะพยายามทำให้ดีที่สุดเพื่อแม่ที่ทำงานอยู่กรุงเทพฯ จะได้มีกำลังใจทำงานเลี้ยงดูผม ส่งค่าเทอมให้ ผมสัญญาจะเป็นเด็กดีให้ถึงที่สุดเพื่อแม่พ่อครับ
นายสุรศักดิ์ โวหาร โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร เขียนไว้ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2556 เวลาประมาณ 07.40 น.
ไม่เคยโกรธพ่อแม่ที่หย่าร้างกัน ผมเป็นเด็กบ้านแตก อยู่กับปู่ ย่า ป้า ลุง พ่อกับแม่หย่ากันตั้งแต่ผมอยู่อนุบาล 3 ขณะนั้นผมเรียนอยู่ที่โรงเรียนศรีเทพบาล ผมเรียนมาตั้งแต่อนุบาล 1 จนถึงมัธยมศึกษาปีที่ 3 และเข้ามาศึกษาต่อที่ ร.ร.จัตุรัสวิทยาคาร ลุงกับป้ามีอาชีพขายของ ผมมีความผูกพันกับปู่ย่า ป้า ลุงมาก ๆ ท่านเลี้ยงผมมาตั้งแต่อายุแค่ 7 เดือน ที่โรงเรียนศรีเทพบาลนั้นผมทำเกรดเฉลี่ยของทุกเทอมไม่ต่ำกว่า 3.00 ผมจะชอบโทรไปหาแม่กับพ่อทุกครั้งบอกว่าเทอมนี้ได้เกรดเท่าไหร่ซึ่งจะได้รับคำชม ผมชอบมาก ๆ ก็อยากจะทำให้ดีทุก ๆ ครั้ง ขณะที่ผมอยู่ ม.1 ผมมีครูที่ปรึกษาชื่อครูกาญจนา ครูเป็นคนใจดี อารมณ์ดี เพื่อน ๆ ของผมและผมรักครูมาก ๆ และอยู่ด้วยกันตั้งแต่ ม.1 – ม.3 วันสุดท้ายคือวันปัจฉิมนิเทศ ผมรู้สึกใจหายมาก ๆ ผมก็ไม่รู้ว่าทำไมน้ำตามันไหลทั้งวัน ในวันนั้นทั้งที่ตัวผมเองไม่อยากจะจากกันด้วยน้ำตาอยากจากด้วยรอยยิ้มมากกว่า
พอผมได้เข้ามาศึกษาต่อที่จัตุรัสวิทยาคาร ผมมีเพื่อนร่วมห้องที่ทุกคนเป็นมิตรมาก ๆ เลยจนวันที่ 24 ผมได้มีโอกาสมาเข้าค่ายที่วัดวะภูแก้ว ดร.ดาราวรรณ เป็นวิทยากรที่มีความเมตตามาก ตักเตือนทุกครั้งที่ทำผิดทำไม่ดี ผมได้มีโอกาสนั่งสมาธิภาวนาจิต อาจารย์ ดร.สอนว่าให้จิตจดจ่อจะทำให้จิตมีพลัง การทำสมาชิกภาวนาทำให้ผมได้สำนึกว่าทุก ๆ ครั้งที่เถียงย่าผมมันบาปมาก เพราะท่านมีพระคุณ ผมเคยตั้งคำถามในใจว่าโกรธไหมที่พ่อแม่หย่ากัน ผมได้คำตอบเสมอว่าการที่พ่อกับแม่หย่ากัน ทิ้งกันไม่ได้แปลว่า ท่านไม่รักเรา แต่ท่านมีเหตุผลของท่าน ใช่ว่าหย่ากันแล้วไม่รักเรา ผมไม่เคยโกรธสักนิด เพราะสิ่งที่ผมมีอยู่ตอนนี้มันเพียงพอมากแล้วจะต้องการอะไรอีก หลังจากที่ผมจะกลับไปอีกไม่กี่ชั่วโมงที่จะถึงนี้ ผมจะตั้งใจเรียนให้มากยิ่งขึ้นจะตั้งใจในการอ่านจะพยายามไม่เถียงท่านอีก
นายชลทัต มีพระจันทร์ ม.4/1 โรงเรียนจัตุรัสวิทยาคาร เขียนไว้ ณ วันที่ 28 พฤษภาคม 2556
|