ปฏิบัติเพื่อเอาดี
Wednesday, 30 September 2009 05:03

  

ปฏิบัติเพื่อเอาดี

 

 โดย
พระราชสังวรญาณ (พุธ ฐานิโย)
วัดป่าสาลวัน อำเภอเมือง จังหวัดนครราชสีมา

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

 

การปฏิบัติเพื่อเอาดีกับพระพุทธเจ้า

เราปฏิญาณตนถึงพระองค์ท่าน

          พุทธัง สะระณัง คัจฉามิ


ข้าพเจ้าขอถึงพระพุทธเจ้าว่าเป็นสรณะที่พึ่งที่ระลึก แล้วคอยปฏิบัติตามคำสั่งสอนของพระองค์ท่าน คือ พระธรรมคำสั่งสอนนั่นเอง คำสอนที่พระองค์ย้ำนักย้ำหนา ก็คือ…ให้มนุษย์สร้างความรัก ความเมตตาปรานีในกันและกัน


ปาณาติปาตา…                       สูเจ้าอย่าฆ่ากันนะ
อะทินนาทานา…                      สูเจ้าอย่าเบียดเบียนกันนะ
กาเมสุมิจฉาจารา…                   สูเจ้าอย่าข่มเหงน้ำใจกันนะ
มุสาวาทา…                            สูเจ้าอย่ารังแกกันนะ
สุราเมระยะมัชฌะปะมาทัฏฐานา     สูเจ้าอย่าอิจฉาตาร้อนกันนะ

สัพเพ สัตตา สุขิตา โหนตุ
สูเจ้าจงมีน้ำจิตน้ำใจ อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกัน

ปรารถนาให้ทุกชีวิตมีความสุขกายสุขใจ อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกัน

จงมีสุขรักษาตนให้พ้นภัยทั้งปวงเถิด

นี่คือหลักที่จะเอาดีกับพระพุทธเจ้า… ให้มีศีล ๕


ใครปฏิบัติตามศีล ๕ ได้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ยึดเอาคุณธรรมอันเป็นหลักประกันความปลอดภัยของสังคมไว้อย่างเต็มที่

คุณธรรมอันนี้ เป็นคุณธรรมป้องกันไม่ให้มนุษย์ฆ่ากัน จึงเป็นคุณธรรมประกันความปลอดภัยของสังคม และเป็นคุณธรรมตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม เมื่อวานนี้เราอาจได้ทำบาปทำกรรม  วันนี้เรามีศีล ๕ ครบถ้วนบริบูรณ์ เราก็ได้ตัดทอนผลเพิ่มของบาปกรรม บาปกรรมเก่ามีอยู่เท่าไร มันก็ยุติเพียงเท่านั้น ไม่เพิ่ม เพราะเราไม่ทำหรือเราไม่ละเมิดศีล ๕

 

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

และศีล ๕ ข้อนี้แหละ จะเป็นขอบเขตของการใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์โดยความเป็นธรรม เรามีกิเลสอยู่ในใจ ถ้าเราจะใช้กิเลสให้เกิดประโยชน์ อย่าให้ผิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่งเป็นใช้ได้


และศีล ๕ ข้อนี้แหละ เป็นคุณธรรมปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้สมบูรณ์ ผู้ที่จะเป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์ต้องมีศีล ๕ ชั่วชีวิตที่เกิดมานี้ เราแน่ใจไหมว่าเราเป็นมนุษย์สมบูรณ์ทุกกระเบียดนิ้ว

เรามีหลักให้ท่านพิจารณาตามดังนี้…

  •  ขณะใดที่ท่านมีใจโหดเหี้ยม โดยไม่คำนึงถึงศีลธรรมและกฎหมายปกครองบ้านเมือง อยากฆ่าใครฆ่า อยากแกงใครแกง อยากเบียดเบียนข่มเหงรังแกใครก็ทำไปตามอำเภอใจของตัวเอง ในขณะนั้น ใจของเราเป็นสัตว์เดรัจฉาน แต่ร่างกายของเราเป็นมนุษย์ เพราะวิสัยของสัตว์เดรัจฉานนั้น ทำอะไรโดยไม่มีขอบเขต เขาทำตามอำเภอใจของเขา ไม่ได้คำนึงว่าใครจะสุขจะทุกข์ ดังนั้น มนุษย์เราผู้มีความประพฤติเช่นนั้น กายของเขาเป็นมนุษย์แต่ใจของเขาเป็นสัตว์เดรัจฉาน

 

  • แต่ในขณะใดที่เขามีจิตใจเมตตา โอบเอื้ออารี นึกถึงอกเขาอกเราไม่เบียดเบียนรังแกใคร ในขณะนั้นกายของเขาเป็นมนุษย์ และใจของเขาก็เป็นมนุษย์เช่นเดียวกัน เรียกว่า มะนุสสะ มะนุสโส มนุษย์ผู้มีใจสูงส่ง

  •  ในขณะใดที่เขามีหิริโอตตัปปะ คือความละอายต่อบาป สะดุ้งกลัวต่อบาป ไม่กล้าทำบาป ทั้งในที่ลับและที่แจ้ง ในขณะนั้นใจของเขาเป็นเทวดา แต่ร่างกายเขาเป็นมนุษย์

 

  •  ถ้าหากผู้ใดมานั่งสมาธิภาวนา ทำจิตให้สงบนิ่ง สว่าง รู้ ตื่น เบิกบาน ใจของเขาเป็นพรหม ผู้มีใจสว่างไสว แต่กายของเขาเป็นมนุษย์

 

  •  ถ้าหากว่าในขณะใดที่เขามีใจเหนื่อยหน่ายท้อแท้ไม่เอาไหน ขี้เกียจศึกษาเล่าเรียน ประโยชน์ตนก็ไม่เอาเรื่อง ประโยชน์ส่วนรวมก็ไม่เอาไหน ปล่อยชีวิตให้เป็นไปตามบุญตามกรรม ไม่มีความกระตือรือร้นที่จะสร้างความดี เป็นบุคคลผู้ทอดธุระเสียแล้ว ในขณะนั้นกายของเขาเป็นมนุษย์ แต่ใจของเขาเป็นเปรต เปรตแปลว่า ผู้ละทิ้งซึ่งประโยชน์ทั้งปวง นี่คือความเป็นของเราในชั่วชีวิต นี่คือหลักที่เราจะพิจารณาตัวของตัวเอง ให้เรารู้ว่าช่วงไหนเราเป็นอะไร

ดังนั้น ในเมื่อเรามีศีล ๕ ครบถ้วนบริบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง กายของเราจึงเป็นมนุษย์ และใจก็เป็นมนุษย์โดยสมบูรณ์

และข้อต่อไป ศีล ๕ เป็นมูลฐานให้เกิดการปกครองแบบประชาธิปไตย เพราะหัวใจของประชาธิปไตยอยู่ที่การเคารพสิทธิมนุษยชน

ผู้มีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์ จึงได้ชื่อว่าเคารพทุกสิทธิ

สิทธิในการดำรงชีพอยู่ของคนอื่น สัตว์อื่น
สิทธิในการครอบครองทรัพย์สมบัติ
สิทธิในคู่ครองและบุคคลต้องห้าม และสิทธิอื่น ๆ

เมื่อเป็นเช่นนั้น ศีล ๕ ประการจึงเป็นยอดแห่งประชาธิปไตย คำสอนของพระพุทธเจ้าทั้งปวงนั้นก็เป็นยอดแห่งประชาธิปไตย

คำสอนของสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ไม่มีที่ไหนที่ท่านสอนให้มนุษย์เบียดเบียนซึ่งกันและกัน มีแต่สอนให้รักกัน

 

การปฏิบัติเพื่อเอาดีกับบิดา-มารดา

การปฏิบัติเพื่อเอาดีกับบิดา-มารดา


บิดา-มารดา เป็นบุคคลที่บุตรธิดาควรปฏิบัติ เพื่อเอาดีกับท่านทั้งสอง เพราะว่าท่านเป็นพระของเรา เป็นพระเหนือหัวเรา

พระพุทธเจ้าทรงยกย่องบิดามารดาว่า

เป็นพระพรหมของลูก
เป็นพระอรหันต์ของลูก
เป็นเนื้อนาบุญของลูก

ผู้ที่จะให้ดีด้วยความบริสุทธิ์ใจอย่างแท้จริง คือพระอรหันต์องค์นี้

บิดามารดามีแต่ความหวังดีต่อบุตรที่ตนให้กำเนิด ไม่มีบิดามารดาคนใดที่จะไปอิจฉาริษยาบุตรธิดาของตน

ดังนั้นท่านจึงสมควรแล้วที่จะเป็นพรหม

เขาเขียนรูปพระพรหมไว้ ๔ หน้า เขาเขียนโกหก ความจริงพระพรหมไม่มี ๔ หน้า ๔ ตา อะไรหรอก มีหน้าเดียวเหมือนมนุษย์นี่ แต่ว่าพระพรหมท่านมีคุณธรรม ๔ อย่าง คือ
เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา

ท่านก็เลยเขียนปริศนาเอาไว้เป็นรูปพระพรหม ๔ หน้า พ่อแม่ของเราก็เป็นพระพรหมเหมือนกัน

"พรัหมาติ มาตาปิตะโร
บิดามารดา ชื่อว่าเป็นพรหมของลูก"


... คือท่านเป็นผู้มีน้ำใจเมตตา เปี่ยมไปด้วยความรัก ความปรารถนาดี เต็มไปด้วยความกรุณา คือคิดที่จะช่วยเหลือบุตรธิดาของตนให้พ้นจากความทุกข์ยากลำบาก

... มีความพลอยยินดี ในเมื่อบุตรธิดาของตนได้ดี

... มีความสบายใจ เบาอกเบาใจเมื่อบุตรธิดาของตนได้ดีมีสุขอย่างเต็มที่

เพราะฉะนั้น จึงสมควรแล้วที่ท่านจะได้นามว่าพระพรหม


บิดามารดาเป็นผู้มีใจบริสุทธิ์สะอาดต่อบุตรธิดาของตน

ท่านไม่มีความอิจฉาตาร้อน

ไม่เบียดเบียน ข่มเหง ไม่รังแกเรา

มีแต่ประคับประคองให้เราได้ดำรงชีพอยู่อย่างเป็นสุข และให้ได้ดิบได้ดีด้วยความบริสุทธิ์ใจ ดังนั้น ท่านจึงสมควรแล้วที่จะเป็นพระอรหันต์ของลูก

พ่อแม่เป็นบุพการี พ่อแม่เป็นบุรพาจารย์

พ่อแม่เป็นผู้ผลิตเราขึ้นมา เป็นผู้เลี้ยงดูเรามา

และเป็นผู้อบรมสั่งสอนให้เรารู้จักดีชั่ว

พระเจ้าพระสงฆ์กับพ่อแม่มีค่าเท่ากัน
เราจะได้มาพบหน้าพระเจ้าพระสงฆ์   … ก็เพราะพ่อแม่ให้เกิด
เรารู้จักพระเจ้าพระสงฆ์  … ก็เพราะพ่อแม่สั่งสอน
เราจะรู้จักทำบุญสุนทร์ทาน  … ก็เพราะพ่อแม่เป็นผู้สอน เป็นผู้พาทำ
ดังนั้น พ่อแม่จึงเป็นครู

แม่ 


พ่อแม่เป็นผู้ให้เกิด เป็นผู้เลี้ยงดู เป็นผู้ให้วิชาความรู้ เป็นผู้ให้ทรัพย์สมบัติ เป็นผู้ให้น้ำจิตน้ำใจทุกอย่าง

เพราะฉะนั้น ใครยังมีพ่อแม่อยู่ รีบอุปถัมภ์อุปัฏฐาก รีบทำบุญกับท่าน อย่าปล่อยให้ท่านลำบาก

บิดามารดาเป็นบุคคลที่บุตรธิดาควรให้ความเคารพบูชา ยกย่อง เราควรปฏิบัติต่อบิดามารดาของเราทุกเช้าค่ำวันคืน

การตอบแทนบุญคุณของท่าน…

  • เรามีมือสองข้าง ก่อนจะยกไหว้คนอื่น ให้ประคองไหว้พ่อแม่ของเราก่อน ก่อนจะออกจากที่หลับที่นอน ให้กราบหมอน ๓ ที ประนมมือขึ้นเหนือหว่างคิ้ว อธิษฐานจิตว่า…
    เราขอกราบไหว้บิดามารดาของเรา แล้วจึงค่อยไปไหว้คนอื่น

 

  • ถ้าหากมีกำลังกาย กำลังความคิด สติปัญญาใดๆ ที่พอจะช่วยอนุเคราะห์ด้วยการรับใช้หรือการทำอะไรให้ถูกอกถูกใจ ก็หยิบยื่นให้พ่อแม่ก่อน

 

  • ถ้าเรามีทรัพย์สมบัติสิ่งของ ก่อนที่จะหยิบยื่นให้ใครต่อใคร ควรจะประเคนให้บิดามารดาของเราก่อนอื่น ซึ่งเป็นการเลี้ยงดูบิดามารดาของตน

 

  • บางทีเราอาจจะศรัทธาในพระเจ้าพระสงฆ์ มีของดีๆ ขนไปให้พระเจ้าพระสงฆ์ฉันหมด แต่พ่อแม่ ปู่ย่าตายายปล่อยให้อด ก่อนอื่นนี่ต้องนึกถึงพ่อถึงแม่เสียก่อน ส่วนนี้จะใส่บาตรให้พระ ส่วนนี้จะให้พ่อแม่รับประทาน

 

  • การทำบุญ เมื่อไม่มีโอกาสไปทำบุญกับวัดกับวากับพระสงฆ์ ก็ให้ทำบุญกับพ่อแม่ปู่ย่าตายายของตนเอง

 

  • ดังนั้น ใครจะทำบุญสุนทร์ทาน ใครจะทำอะไร ใครจะให้อะไรแก่ใคร ควรจะคิดถึงพ่อแม่เป็นอันดับหนึ่ง อย่าปล่อยให้พ่อแม่ต้องลำบากยากเข็ญ ไปทำบุญแต่ที่อื่น ไม่รู้จักทำบุญกับพ่อแม่ก็ไม่มีความหมาย เพราะเราเป็นผู้แล้งน้ำใจต่อพ่อแม่ ขาดความกตัญญูกตเวที

 

  • ความกตัญญูกตเวทีเป็นคุณธรรมพื้นฐานให้เกิดคุณงามความดี คนที่จะรู้จักว่าผู้อื่นดีได้ก็ต้องรู้จักว่าพ่อแม่ตัวเองดีกว่าใครทั้งหมด พ่อแม่ถึงจะเป็นขี้เหล้าเมายา เล่นการพนัน เป็นนักเลงโต ศักดิ์ศรีของความเป็นพ่อเป็นแม่ก็ยังมีโดยสมบูรณ์ ไม่ขาดตกบกพร่อง

 

  • บิดามารดาของตนเป็นผู้มีพระคุณอันเลิศล้ำ การสนองความต้องการของบิดามารดาในทางที่ถูกที่ชอบ เมื่อบิดามารดากล่าวอบรมสั่งสอน หรือมีคำสั่งเมื่อท่านบอกว่า "อย่านะลูก" เราต้องหยุดทันที "อย่า" แล้วต้องหยุดทันที

เมื่อเราเจริญเติบโตเป็นหนุ่มเป็นสาวพอที่จะมีคู่รักคู่ใคร่ ถ้าหากไม่เป็นที่ชอบใจของบิดามารดา ท่านไม่เห็นดีเห็นชอบด้วย เราควรเลือกเอาบิดามารดาของเราไว้ก่อน เพราะบิดามารดาของเราเป็นผู้มาก่อน คนรักมาทีหลัง ไม่เคยมีในประวัติศาสตร์ที่บิดามารดาจะทิ้งบุตรธิดาของตนโดยไม่มีเหตุผล มีแต่บุตรธิดาเท่านั้นที่จะทอดทิ้งบิดามารดา


ดังนั้น การเลี้ยงดูบิดามารดาของเรา การเลี้ยงน้ำใจเป็นเรื่องสำคัญ คือหมายความว่า… เมื่อท่านบอกว่า "อย่า" แล้วหยุดทันที

สาธุชนผู้ปฏิบัติได้ตามที่กล่าวมานี้ ได้ชื่อว่าเป็นผู้ดำรงไว้ซึ่งคุณธรรม คือความกตัญญูกตเวที ซึ่งเป็นคุณธรรมเป็นเครื่องหมายของคนดี


มาตาปิตุอุปัฏฐานัง         การอุปัฏฐากเลี้ยงดูบิดามารดา
เอตัมมังคะละมุตตะมัง                    เป็นมงคลอันสูงสุด
มาตาเปติ ภะรัง ชันตุง     การเลี้ยงดูบิดามารดา มีอานิสงส์ทำให้ผู้ปฏิบัติตายแล้วไปเกิดเป็นพระอินทร์
กุเล เชฏฐา ปะจายินัง     ผู้มีความเคารพนบนอบต่อผู้หลักผู้ใหญ่ในวงศ์ตระกูล มีอานิสงส์ตายแล้วไปเกิดเป็นพระอินทร์


เพราะฉะนั้น พระพุทธเจ้าจึงย้ำนักย้ำหนาว่า การอุปัฏฐากเลี้ยงดูบิดามารดาเป็นมงคลอันสูงสุด มงคล ก็หมายถึงสิ่งที่ดีงามในชีวิตของเรา ผู้มีความรู้สึกสำนึกในพระคุณของบิดามารดา ย่อมเป็นผู้มีกาย วาจา สงบเรียบร้อย ใจเต็มเปี่ยมไปด้วยความกตัญญูกตเวที รู้จักบุญคุณของบิดามารดา


… นี่คือหลักและวิธีการที่จะเอาดีกับบิดามารดา 

พระพุทธเจ้า 
 
สมาธิแบบพระพุทธเจ้า

สมาธิแบบพระพุทธเจ้า การกำหนดรู้เรื่องชีวิตประจำวัน นี่เป็นเหตุเป็นปัจจัยสำคัญ สำคัญยิ่งกว่าการนั่งหลับตาสมาธิ


คนเราทุกคนเกิดมาอาศัยสมาธิเป็นหลักใจ

คนที่ทำอะไรด้วยความจริงใจ… เป็นลูกของพ่อของแม่ก็เป็นลูกด้วยความจริงใจ เป็นศิษย์ของครูบาอาจารย์ก็เป็นศิษย์ด้วยความจริงใจ

จะเป็นอะไร ทำอะไร คิดอะไร เป็นไปด้วยความจริงใจ ได้ชื่อว่าเป็นผู้มีสัจจะ ความจริงใจ

เมื่อมีสัจจะความจริงใจอย่างแน่วแน่ ชีวิตของเราทุกคนจึงเกี่ยวข้องกับสมาธิตั้งแต่เกิดมาจนกระทั่งวันตาย คนที่ไม่มีสมาธิย่อมมีนิสัยเหลาะแหละ ทำอะไรมีแต่จับจดไม่เอาจริงเอาจัง


สมาธิเป็นกิริยาของจิต เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตอยู่ตลอดเวลา
ถ้าเรานั่งกำหนดรู้จิตของเรา เรียกว่าปฏิบัติสมาธิในท่านั่ง
ถ้ากำหนดรู้จิตในท่ายืน เรียกว่าปฏิบัติสมาธิในท่ายืน
เมื่อเรามีสติกำหนดรู้จิตในท่านอนเรียกว่าปฏิบัติสมาธิในท่านอน
เวลาเดินจงกรม เรามีสติกำหนดรู้จิตของเรา เรียกว่าปฏิบัติสมาธิในท่าเดิน

ยืน เดิน นั่ง นอน เป็นแต่เพียงเปลี่ยนอิริยาบถบริหารกายเพื่อมิให้ส่วนใดส่วนหนึ่งถูกทรมานเกินไป เพราะฉะนั้น สมาธิจึงมิใช่เพียงการนั่งสมาธิอย่างเดียว แม้แต่การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ถ้าเรามีสติรู้ตัวตลอดเวลา เราก็ได้ปฏิบัติสมาธิตลอดเวลา


ถ้าหากเรายึดหลักว่า เราจะฝึกสติของเราให้รู้อยู่กับการยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ เราก็ได้ฝึกสมาธิอยู่ตลอดเวลา โดยไม่มีอุปสรรคใดๆ มาขัดขวาง เมื่อเราเข้าใจกันอย่างนี้ การฝึกสมาธิจะไม่มีอุปสรรค เพราะเราจะปฏิบัติได้ทุกเวลาทุกโอกาส

สมาธิ

ผลที่เราจะได้จากการฝึกสมาธิ ทำให้จิตของเราตั้งมั่นหรือมั่นคงต่อการทำธุรกิจต่างๆ ทำให้เรามีจิตที่สงบเยือกเย็น และมีเมตตาปรานีต่อเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน จะมีความเคารพ บูชา รักในบิดา มารดาครูบาอาจารย์ดีขึ้น จะทำให้เราหมั่นขยันในการงาน ทำให้ความจำดี มีสติปัญญาเฉลียวฉลาดรอบรู้ คิดการงานใดจะไม่ท้อถอย โดยเฉพาะสมาธิจะเสริมกำลังปัญญาของเราให้ปราดเปรื่อง


กฎหรือระเบียบที่จะประพฤติบำเพ็ญตนให้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าอย่างแท้จริง ที่เราจะตั้งใจปฏิบัติโดยเจตนา คือ ศีล


เรามาฝึกสมาธินี้เพื่ออบรมจิตของเราให้มีพลังงาน มีสติสัมปชัญญะ มีปัญญา เพื่อให้จิตของเรานี้เป็นลูกศิษย์ของพระพุทธเจ้าโดยอัตโนมัติ เมื่อจิตมีสภาวะรู้ ตื่น เบิกบาน ก็ได้ชื่อว่าจิตมีคุณธรรมความเป็นพุทธะ 


 

Last Updated on Friday, 02 October 2009 08:21
 

ค้นหา (พิมพ์คำที่ต้องการค้นหา แล้วกดปุ่ม Enter)

ร้านจักรวาลอ๊อกซิเย่น

Banner

น้อมส่งเสด็จสู่สวรรคาลัย

Banner

เข้า Facebook ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดวะภูแก้ว

Banner

แห่เทียนพรรษา 2558

Banner

ฐานิยปูชา 2556

Banner

www.thaniyo.net

Banner

ฐานิยปูชา 2555

Banner

เชิญชม วิดีโอ การแสดงธรรมของ หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

วัดป่าสาลวัน

Banner

หลวงพ่อพุธ ฐานิโย

Banner

palungdham.com

Banner

ฐานิยปูชา 2553

Banner

สำรวจความคิดเห็น

เหตุผล สำคัญที่สุด ในการเข้ารับการอบรมพัฒนาจิต ที่วัดวะภูแก้ว ?
 

แบบสำรวจความคิดเห็น

วัดวะภูแก้วควรปรับปรุงเรื่องใดมากที่สุด
 

แบบสำรวจ

พระสงฆ์ในทัศนะของท่าน ?
 

โปรดแสดงความคิดเห็นของท่านได้ที่สมุดเยี่ยม

Banner