โลกกับธรรมต้องหันหลังให้กันจริงหรือ |
Thursday, 23 April 2009 13:58 | |||
เราจะปรับพื้นฐานความเป็นมนุษย์ให้ตรงก็ต้องอาศัยศีล ๕ เพราะฉะนั้นศีล ๕ นี้ จึงเป็นคุณธรรมให้คุณประโยชน์ทั้งทางศาสนาทั้งทางการปกครองบ้านเมือง แต่แท้ที่จริงแล้วหลักการปกครองบ้านเมืองกับหลักศาสนา ก็คืออันเดียวกันนั่นแหละ แต่เราไปแบ่งแยกจนถึงกับพุทธบริษัทเห็นว่าโลกกับธรรมต้องหันหลังให้กัน เพราะฉะนั้นในปัจจุบันหรือในอดีตก็ตาม พวกที่แสวงหาธรรมะหรือปฏิบัติธรรมทั้งหลายนี้ชอบละทิ้งครอบครัว ละทิ้งทรัพย์สมบัติ ละทิ้งหน้าที่การงาน ไปเที่ยวแสวงหาที่สงบวิเวกหรือครูบาอาจารย์ที่เก่งในการแสดงธรรม ในที่สุดก็เร่ร่อนไปมา ไปมานั่นแหละเพราะเราเข้าใจว่า โลกกับธรรมมันเข้ากันไม่ได้ แต่ความจริงโลกนี่ โลกที่เราว่าโลกเนี่ย มันเป็นอารมณ์จิตของผู้ปฏิบัติธรรม ผู้ปฏิบัติธรรมต้องฝึกจิตให้มีสมาธิคือ ความมั่นคง มีสติสัมปชัญญะไม่เว้น เพื่อเราจะได้ใช้อำนาจจิตที่มีความมั่นคง อำนาจของสติสัมปชัญญะ มองดูโลกหรือสิ่งที่เป็นไปตามโลกทั้งหลายนี้ ผู้สำเร็จมรรคผล นิพพาน ต้องเรียนรู้เรื่องของกายและจิต ทีนี้ ภายหลังมานี้ ในเมื่อพระองค์ไปเรียนในสำนักที่เรียน จนไม่มีที่เรียน จนไม่มีอาจารย์จะสอน เมื่อไม่มีที่เรียนสำนักจะสอน พระองค์ก็ทรงค้นคว้าหลักปฏิบัติคุณธรรมของพระองค์เอง แต่เดชะบุญในสมัยที่พระองค์ยังทรงพระเยาว์ พระบิดาทำพิธีแรกนาขวัญ พระพี่เลี้ยง นางโลม ผูกพระอู่ใส่กัน ได้บรรทมอยู่ใต้ต้นหว้า ในช่วงที่ประชาชนเขากำลังสนุกเพลิดเพลิน มโหรสพและพิธีแรกนาขวัญ ปล่อยให้พระองค์บรรทมอยู่ในพระอู่ แต่ในพระองค์เดียว ในช่วงนั้นเป็นช่วงที่ไม่มีใครรบกวนได้ ทารกตัวเล็กๆ เพราะอาศัยบารมีที่พระองค์เคยบำเพ็ญมาแล้วหลายภพ หลายชาติสร้างบารมีมาแล้ว กระตุ้นเตือนให้พระองค์รู้จักกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออกแล้วนัยว่า พระองค์สำเร็จปฐมฌาน
|