ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม 2 |
Monday, 21 September 2009 03:41 | |
ถาม-ตอบ ปัญหาธรรม (2)
คำถาม : การอโหสิกรรม เมื่อเจ้ากรรมนายเวรอโหสิกรรมให้แล้ว ผู้นั้นยังจะต้องรับกรรมอีกหรือไม่?
คำถาม : สมมติว่าคนถือศีลกันหมดแล้ว ถ้ามีศัตรูต่างชาติเข้ามาเบียดเบียนเราจะไม่เป็นอันตรายหรือ? หลวงพ่อพุธตอบ : อันนี้มันเป็นไปไม่ได้ คือว่าแต่ไหนแต่ไรมาแล้วคนที่จะไปถือศีลหมดทุกคนนั้นเป็นไปไม่ได้เพราะฉะนั้นอันนี้ไม่ต้องวิตกกังวลหรือถ้าหากใครว่า ถ้างดเว้นการฆ่าสัตว์แล้วจะได้กินอะไร ก็ไม่ต้องไปวิตกกังวล เพราะเขาฆ่ากันกิน รบกัน ฆ่ากันมาตั้งแต่ก่อนเราเกิด ทีนี้ถ้าหากว่าถือศีลกันหมดทุกคน ข้าศึกมารุก เช่น พระเจ้าวิฑูฑภะยกกองทัพไปปราบพวกศากยะ พวกศากยะนี้ถือศีลกันมาตั้งแต่เล็กแต่น้อย ไม่ฆ่าสัตว์เลย พอพระเจ้าวิฑูฑภะมาก็ไม่ยอมต่อสู้ จะทำอย่างไรก็ตาม จะฆ่าจะแกงฉันก็ไม่สนใจทั้งนั้น จนกระทั่งพระเจ้าวิฑูฑภะล้างโคตรของศากยะไปหมดสิ้นจากโลกนั่นคือท่านผู้เคร่งในศีลในธรรม ทีนี้ในศีลในธรรมอย่างนั้น คนอื่นเขาฆ่าท่าน ท่านไม่ยอมฆ่าตอบ ท่านก็เป็นผู้เคร่งในศีล เป็นคุณสมบัติของพระโสดาบัน พระโสดาบันย่อมไม่ฆ่า ไม่เบียดเบียน ไม่ข่มเหง ไม่รังแกใคร จะฆ่าก็ยอมตาย อันนั้นแสดงคุณธรรมอย่างสูงส่ง โดยสามัญทั่วไปผู้ที่ถือศีลถือไป ผู้ที่ทำหน้าที่รบก็รบไป ผู้มีศีลนึกสนุกมาก็เอาพระเอาเหรียญมาปลุกเสกไปแจกเขาด้วยก็ยิ่งดี
หลวงพ่อพุธตอบ : ถ้าหากว่าบวชเป็นพระแล้ว ไม่ได้ปฏิบัติ เดินจงกรมนั่งสมาธิ แต่รักษาศีลให้บริสุทธิ์สะอาด ไม่ละเมิดสิกขาบทน้อยใหญ่ ถึงแม้ว่าคุณธรรมอื่นไม่เกิด ไม่ได้ปฏิบัติเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา แต่ว่าศีลบริสุทธิ์หมดจด ศีล ๕ ก็บริสุทธิ์ ศีลอื่นก็บริสุทธิ์ ศีล ๒๒๗ ก็บริสุทธิ์ เมื่อศีลบริสุทธิ์สะอาดแล้ว ไม่ได้ปฏิบัติสมาธิ สมาธิมันก็เกิดขึ้นมาเอง ถ้าศีลบริสุทธิ์ การภาวนาก็คือมีสติรู้อยู่กับเหตุการณ์ปัจจุบัน ผู้ที่มีศีลบริสุทธิ์ต้องมีสติสังวรระวังอยู่ทุกลมหายใจ การที่มีสติสังวรระวังอยู่ทุกลมหายใจนั่นแหละคือการฝึกสมาธิ เพราะสิ่งที่เราระวังๆ อยู่นั่น ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ เป็นอารมณ์จิต รูปผ่านเข้ามาเรามีสติ และเราก็ไม่ได้ละเมิดสิกขาบทวินัยของเรา ไม่ได้เดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนา เมื่อเราฝึกสติตลอดเวลามันก็เป็นสมาธิได้ ไม่เฉพาะแต่มานั่งหลับตาภาวนาพุทโธๆๆ คนที่เขาปฏิบัติโดยไม่เคยนั่งสมาธิเลย เวลาเขานั่งทำงาน เขานึกว่าเขานั่งสมาธิ มีสติรู้พร้อมเดินไป ทำงานมีสติรู้พร้อม เขาเดินจงกรม เขาคิดงานของเขา เขาพิจารณาธรรมแล้วจิตก็มีสมาธิ มีสติปัญญารู้ธรรมเห็นธรรมได้ ตัวอย่าง มีอยู่หลายๆคน ในปัจจุบันนี้ก็มี
คำถาม : ผู้ที่ประสบอุบัติเหตุแล้วกล่าวว่า รูปเหรียญมงคลช่วยให้เขารอดจากอุบัติเหตุนั้นๆ จริงหรือไม่ หรือเพราะเหตุใด? หลวงพ่อพุธตอบ : มีทั้งจริงทั้งไม่จริง ที่จริงก็คือว่าคนที่ยังไม่ถึงที่ตาย รูปเหรียญพระนั้นๆ ก็ช่วยได้ แต่ถ้าจะถึงที่ตายแล้ว อะไรก็ป้องไม่ได้ แต่ว่ารูปเหรียญนั้น รูปพระก็ดี วัตถุมงคลก็ดี ที่เราถือไว้ห้อยคอเอาไว้ เตือนใจเมื่อเวลาเกิดอุบัติเหตุจะได้นึกถึงพระถึงเจ้า บางทีเรานึกถึงพระถึงเจ้ามันก็อาจจะรอดพ้นอันตรายไปเพราะบุญกุศลมันยังช่วยต่อชีวิตให้ เพียงแต่ว่านึกพุทโธๆ มันก็เป็นบุญอยู่แล้ว สมมติว่าชีวิตของเราจะสิ้นลงในวันนี้ พอพุทโธๆๆ ใจแน่วแน่ขึ้นมา มันก็ต่ออายุไปได้ เพราะบุญกุศลนั้นมันส่ง แต่ผู้ที่จะถึงวาระที่จะต้องตายแล้วต่อให้พระพรหมมาป้องกันก็ไม่เหลือ
หลวงพ่อพุธตอบ : ถ้าอยากจะให้สมกับคำว่า เร่งความเพียร ก็อย่าหยุดนิ่งสวดมนต์ไหว้พระเช้าเย็นเดินจงกรม นั่งสมาธิภาวนาทำติดต่อกัน ทำด้วยความมีสติปัญญา อย่าทำอย่างงมงาย ได้ชื่อว่าเป็นการเร่งความเพียร คือทำไม่หยุด เพียรเดิน ก็คือเดินไม่หยุด เพียรวิ่งก็คือวิ่งไม่หยุด เพียรฝึกการเล่นกีฬาก็คือการเล่นไม่หยุด เดินจงกรมนั่งสมาธิไม่หยุด เวลานอนลงไปก็กำหนดจิตบริกรรมภาวนา หรือพิจารณาธรรมอยู่ก็ได้ชื่อว่าเร่งความเพียรคือไม่ประมาท ไม่ผลัดวันประกันพรุ่ง
คำถาม : การสวดมนต์ บทไหนที่ดีที่สุด? หลวงพ่อพุธตอบ : สวดมนต์นี่ดีทุกบท อย่าไปเชื่อว่าบทนั้นดี บทนี้ไม่ดี มนต์ต่างๆ นั่นมันเป็นคำสอนของพระพุทธเจ้า เป็นการเล่านิยายเรื่องพระพุทธเจ้าที่ท่านทำงานของท่านมาเป็นบันทึกผลงานของพระพุทธเจ้า เช่นอย่าง มงคลสูตร ปรารภอะไรและทรงแสดงธรรมว่าอย่างไร กรณียเมตตสูตร ปรารภอะไร แสดงธรรมว่าอย่างไร มันเป็นบทบันทึกคำสอนของพระพุทธเจ้า เช่นอย่าง ธัมมจักกัปปวัตตนสูตร ก็เป็นบันทึกที่พระองค์ทรงแสดงธรรมเทศนา เป็นกัณฑ์แรก โปรดใคร ที่เขาไปกำหนดหมายว่า สวดนั้นถึงจะดี สวดนี้ถึงจะดี อันนั้นเขาสอนกันมีแนวโน้มไปในทางไสยศาตร์ พวกไสยศาตร์นี่อย่าไปสนใจ ขืนเรียนไสยาศาตร์ไปกลายเป็นผีใหญ่หมด สวดมนต์ที่พระพุทธเจ้าเทศน์เอาไว้ เป็นการทรงจำคำสอนสวดมนต์ หลักก็คือสวดพุทธคุณ ธรรมคุณ สังฆคุณเป็นการไหว้ครู คือไหว้พระพุทธเจ้าและคุณธรรมของพระพุทธเจ้า สาวก ของพระพุทธเจ้าผู้นำศาสนามา การสวดมนต์นี่ เช่นเราสมมติว่า สวด “อิติปิโส ภะคะวาอะระหัง สัมมาสัมพุทโธ” ทำสติให้มันรู้ชัดๆ มันก็เป็นภาวนาไปในตัว อะไรก็ตามที่เรารู้ เช่น ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจเป็นสื่อสัมพันธ์กับโลกภายนอก ตาเห็นรูปมีสติ ถ้ามันเกิดรักเกิดชอบพิจารณา ถ้ามันเกลียดพิจารณาให้มีสติรู้อยู่ตลอดเวลา อย่าไปสนใจเรื่องของคนอื่น เรามั่นคงใน พระธรรม พระวินัย ในข้อวัตรปฏิบัติของเรา รักษาศีลวินัยให้ดี เอาใจใส่การปฏิบัติให้ดี เราไปอยู่ในสำนักไหน พักในสำนักไหน กิจวัตรของวัดนั้นเขามีอะไร ให้อนุโลมปฏิบัติตามเขา ถ้าเราไม่ชอบอย่าไปขวางเขา ถ้าไม่ชอบระเบียบวิธีการของวัดนี้ เราก็ไม่ต้องอยู่ ก็ต้องไปแสวงหาที่อื่น อย่าเอามติของเราไปขัดเขา ถ้าเรายังไม่พ้นนิสัยมุตก์หรือพ้นแล้ว ถ้าหากเราจะไปศึกษาปฏิบัติในสำนักไหน แม้ว่าเราอายุพรรษาพ้น ๕ แล้วต้องรู้จักพระธรรมวินัย อุบายวิธีแก้ไขปัญหาตัวเอง ถ้าหากว่ายังไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้ ๑๐๐ พรรษาก็ยังไม่พ้น ทีนี้เรายังแสวงหาครูบาอาจารย์เพื่อการปฏิบัติอยู่ ก็แสดงว่าเรายังไม่พ้นนิสัยมุตก์ เพราะเรายังไม่เข้าใจหลักการปฏิบัติ
คำถาม : ประกอบอาชีพอะไรในทางฆราวาสที่หลวงพ่อคิดว่ามีความเหมาะสมกับเศรษฐกิจในทุกวันนี้? หลวงพ่อพุธตอบ : อะไรก็ได้ ใครคล่องตัวในการทำนาก็ไปทำนา ใครคล่องตัวในการทำไร่ก็ไปทำไร่ ใครคล่องในการก่อสร้างไปก่อสร้าง ใครคล่องในการทำมาค้าขาย ไปทำมาค้าขาย อาศัยความพากเพียรพยายาม ล้มลุกคลุกคลาน อดทน อย่าท้อถอย ในที่สุดแล้วเราจะประสบผลสำเร็จ
หลวงพ่อพุธตอบ : ไม่มีทาง พระพุทธเจ้าสอนว่า ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ ศีล ๕ นั่นแหละเป็นการทำผิดบาปโดยกฎของธรรมชาติ ถ้าหากเราปฏิบัติผิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่ง แล้วมาทำพิธีล้างกรรมล้างเวร นั่น จะเปลี่ยนศาสนาพุทธให้เป็นศาสนาคริสต์ สิ่งที่เราทำลงไปนั้น มันล้างกรรมไม่ได้แล้วมันจะหมดบาปไปเพราะการอาบน้ำการล้าง หรือการเสกมนต์อะไรไม่ได้ทั้งนั้น เช่น อย่างเขาทำพิธีตัดกรรมตัดเวร แต่งขันธ์ ๕ ขันธ์ ๘ ขึ้นมาแล้ว เขาก็นำสวดว่า “ยัง กัมมัง กะริสสามิ” “กัลยานัง วา ปาปะกัง วา ตัสสะ ทายาโน ภะวิสสามิ” แล้วก็ว่ามันตัดได้ หมดกรรมหมดเวร อันนี้เขาหลอกลวงอย่าไปเชื่อถ้าใครอยากจะตัดกรรมตัดเวรก็ให้มีศีล ๕ ให้บริสุทธิ์ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปก็ได้ชื่อว่าตัดกรรมตัดเวร
หลวงพ่อพุธตอบ : ในสมัยครั้งพุทธกาล พระพุทธเจ้าเคยเทศน์เรื่องโพธิราชกุมาร โพธิราชกุมารเกิดมาแล้วเป็นเศรษฐีแล้วไม่มีบุตรสืบสกุล วันหนึ่งท่านก็อธิษฐานบารมีว่า “ถ้าหากว่าเราจะมีบุตร เราจะปูผ้าขาวเอาไว้ ขอให้พระพุทธเจ้าเหยียบผ้าขาวของเรา” พระพุทธเจ้าก็รู้ล่วงหน้าว่าเศรษฐีคนนี้จะไม่มีบุตรตลอดชาติ อ่านก็ไม่ทรงเหยียบ พระสงฆ์ทั้งหลายก็ไม่ทรงเหยียบเป็นเพราะบุพกรรมอันใด? เศรษฐีคนนี้ได้ไปพรากลูกพรากเต้าเขาในสมัยก่อนมีพวกพ่อค้าล่องเรือสำเภาไปค้าขายในทะเล พอดีลมพายุมันมาพัดเรือจะจมมิจมแหล่ พวกชาวเรือทั้งหลายก็มาปรึกษากันว่า? ชะรอยจะมีคนกาลกิณีติมาด้วย เขาทั้งหลายก็พากันให้จับฉลาก พอจับฉลากแล้วบุรุษกาลกิณีผัวเมียคู่หนึ่งเป็นกาลกิณีก็จับฉลากได้แต่กาลกิณีถึง ๓ ครั้ง ๓ หน ชาวเรือทั้งหลายเขาก็สละไม้กระดานแผ่นหนึ่งผูกคนทั้งสองติดไม่กระดานแล้วปล่อยลงไปในทะเลคลื่นทะเลก็ซัดไปตามบุญตามกรรม ไปติดอยู่ที่เกาะแห่งหนึ่งกลางทะเลซึ่งไม่มีผู้มีคนแต่ว่าในเกาะนั้นนกทั้งหลายพากันไปทำรังออกลูกออกไข่อยู่ที่นั่น ผัวเมียคู่นี้ไม่มีอะไรจะกิน ไปเห็นลูกนกทั้งหลายก็เอาไม่ไผ่ไปสีให้เกิดไฟขึ้นแล้วไปเก็บไข่นกมาเผาไฟกิน เมื่อกินไข่หมดแล้วเอาลูกมันมาเผากิน เมื่อกินลูกหมดแล้วก็เอาไม้ไล่ตีแม่มันมาเผากิน จนกระทั่งนกในเกาะนั้นหมดที่เหลือก็พากันบินหนีข้ามทะเลไป
หลวงพ่อพุธตอบ : การจุดยากันยุง ถ้ายุงไม่ตายมันได้กลิ่นแล้วก็บินหนีไปถือว่า “ไม่บาป”
หลวงพ่อพุธตอบ : หากสมมติว่าเราเปิดประตูหน้าต่างไว้ เรามองไม่เห็นตัวสัตว์แล้วก็ฉีดๆๆ ให้กลิ่นมันอบอยู่ในนั้น ป้องกันไม่ให้มันบินเข้ามาถ้ายุงไม่ตายก็ไม่เป็นบาป แต่ถ้าเรารู้ว่ามียุงอยู่ในนั้นไปฉีดยากันยุงมันไปถูกยุงตายมันก็บาป ฆ่าสัตว์โดยเจตนา
คำถาม : ขณะที่เรารักษาศีล แต่ไม่สามารถทำได้โดยการไม่เจตนาจะผิดศีลหรือไม่? เราควรทำอย่างไรดี? หลวงพ่อพุธตอบ : สิ่งที่เราทำแล้วขึ้นชื่อว่าผิดศีล ต้องพร้อมด้วยเจตนาคือ ความตั้งใจโดยสมบูรณ์ เช่น อย่างศีลข้อปาณาติบาตประกอบด้วยองค์ ๕ ๒. รู้ว่าสัตว์มีชีวิต ๓. เจตนา คือความตั้งใจฆ่า ๔. ความพยายามฆ่า ๕. สัตว์ตายด้วยความพยายามนั้น ศีลจึงจะขาด ทีนี้เราควรทำอย่างไร? ถ้าเราสงสัยข้องใจว่าศีลเราจะขาด ก็ตั้งใจสมาทานเอาด้วยตนเอง โดยตั้งใจว่าเราจะสำรวมต่อไป ไม่ละเมิดศีลอีก
คำถาม : ที่ว่า “นิพพานัง ปะระมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่งนั้น ถามว่า นิพพานยังมีสุขอีกหรือ? หลวงพ่อพุธตอบ : คำว่า “นิพพานัง ปะระมัง สุขัง” พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง คือมันยิ่งกว่าสุขธรรมดา ยิ่งกว่าสุขจนไม่รู้สึก ว่ามีสุข มีทุกข์ แต่โวหารสมมติว่า พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง ถ้าใครมาเทศน์ว่า “พระนิพพานมันไม่มีความสุขหรอกมีแต่ความเฉยๆ” คนมันก็จะขี้เกียจปฏิบัติเฉยๆนี่จะเอาไปทำไม? นั่งมันอยู่ซื่อๆ มันก็ได้ซิ ! ที่ว่านิพพานสุขนั่นเป็นการจูงใจ สุขอันเป็นบรมสุข สุขอันเป็นปรมัตถสุข เป็นสุขที่เหนือสมมติบัญญัติ เป็นสุขที่อยู่เหนือสุขอย่างสามัญธรรมดา ที่ว่าสุขก็เพราะว่าไม่มาเกิดอีกนั่นเป็นข้อสำคัญ
หลวงพ่อพุธตอบ : มีศีล ๕ ข้อเป็นเครื่องวัดปฏิบัติอันใดไม่ผิดศีล ๕ ข้อใดข้อหนึ่งนั่นแหละเป็นการปฏิบัติที่ถูกต้อง ทีนี้สำหรับความรู้ความเห็น ความรู้อันใดเกิดขึ้น ยึดมั่นถือมั่นมีอุปาทานทำให้เกิดปัญหาว่านี่คืออะไร นี่คือตัวนิวรณ์เป็นมิจฉาทิฎฐิ ความรู้ที่เกิดขึ้นแล้วจิตไม่ยึดไว้ สร้างปัญหาให้ตัวเองเดือดร้อน เพราะรู้แจ้งเห็นจริงแต่ปล่อยวางความรู้อันนี้เป็นสัมมาทิฏฐิ
คำถาม : การพูดเพ้อเจ้อเป็นบาปกรรมอย่างไร ขอได้โปรดเมตตาอธิบาย? หลวงพ่อพุธตอบ : การพูดเพ้อเจ้อเหลวไหล หาสาระไม่ได้ บาปก็คือว่าไม่มีคนเชื่อถือ พูดเรื่อยเปื่อยไปไม่มีหลักมีฐาน ก็ไม่มีคนเชื่อถือ พูดตลกเฮฮา เสียเวลาปฏิบัติธรรมเสียเวลาทำงานสงเคราะห์เข้าในเป็นฉายาของมุสาวาท ผู้ที่จะปฏิบัติธรรมเพื่อบรรลุมรรค ผล นิพพาน ต้องสำรวมวาจาประหยัดคำพูด เพราะฉะนั้น บาปกรรมก็คือมันเสียเวลาภาวนาเสียเวลาที่จะพิจารณา แล้วทำให้จิตใจเศร้าหมอง เมื่อจิตเศร้าหมองแล้วทุคติเป็นที่หวังนั่นคือตัวบาป
คำถาม : ที่ว่า ทุกข์เกิดที่ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ดับที่ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ แต่ตามหลักปฏิจจสมุปบาท ทุกข์เกิดจากอวิชชา ทุกข์จะดับต้องดับอวิชชา เพราะเหตุใดจึงมี ๒ นัย
คำถาม : เวลานั่งสมาธิหรือเดินจงกรม หรือทำอะไรอยู่ก็ตาม มีความรู้สึกมึนชาที่สันจมูกและบริเวณหน้าผาก ไม่ทราบว่าเกี่ยวกับสมถะหรือไม่ หลวงพ่อพุธตอบ : อันนั้นมันไม่เกี่ยวกับสมถะ เพราะเราข่มจิตมากเกินไปข่มอารมณ์มากเกินไปในเมื่อจิตทำท่าจะรวมๆเข้านิดหน่อย พลังของจิตมันก็ข่มเอาประสาทส่วนนั้น แต่ถ้าเราอดทนต่อไป ปวดก็ปวด ตายก็ตาย ถ้ามันผ่านไปได้แล้วจิตก็สงบเป็นสมาธิอดทนลูกเดียว อย่างบางทีเวลาจิตมันจะสงบเป็นสมาธินี่เหมือนใจจะขาดก็มี ถ้ามีสติสัมปัชญญะอดทนต่อไป ผ่านไปแล้วมันก็จะเกิดความสงบขึ้นมาได้ อดทนลูกเดียวไม่มีทางปฏิบัติอย่างอื่น
หลวงพ่อพุธตอบ : ถ้าปฏิบัติจริงก็ทำให้เกิดสมาธิ มีปีติ มีความสุข แล้วก็มีจิตเป็นหนึ่งได้ สมาธิขั้นสมถะซึ่งเป็นพื้นฐานทำให้เกิดปัญญาสมาธิขั้นสมถะ จิตสงบนิ่ง... สว่าง รู้ตื่น เบิกบาน นี่ถ้านักปฏิบัติท่านใดพยายามปฏิบัติเอาให้ได้ นักปฏิบัติท่านนั้นจะมีสมาธิเป็นพื้นฐานของจิตใจในเมื่อปัญญาเกิดขึ้นแล้วจะไม่หลงความรู้ของตนเอง
คำถาม : เวลาภาวนา น้ำตามันคอยแต่จะออกมา? หลวงพ่อพุธตอบ : นั่นแหละอาการของปิติ ทำไปเรื่อยๆ เดี๋ยวมันผ่านไปเองถ้ามันขึ้นมาอีกก็นั่งอยู่เฉยๆอย่านึกอะไรทั้งสิ้น ที่นี้ถ้ามันจะขึ้นแรงเกินไปก็ถอนหายใจยาวซะเดี๋ยวมันก็หายไป ค่อยแก้ไขไปเดี๋ยวมันก็ดีเอง ดี! ภาวนามีปิตินั่นแหละดี ถ้าปิติไม่เกิดภาวนาก็จะไม่ได้ผลหรอก อาการของปิติเป็นอาการของจิตดื่มรสพระสัทธรรมมีอุปนิสัย ภาวนาเกิดปิติมีอุปนิสัยให้พิจารณาอนิจจัง ทุกขัง อนัตตามากๆ เพราะเดี๋ยวมันเลยขั้นปิติไปแล้วก็สบายหรอก อาจารย์บางองค์อย่างหลวงปู่แว่นปิติท่านก็แรงเหลือเกิน สังเกตดูเวลาท่านเทศน์ทีแรกก็สำเนียงธรรมดาพอเทศน์ไปเรื่อยเกิดปิติขึ้นเสียงจะก้องขึ้น บางทีท่านอธิบายธรรมะจุดไหนท่านพิจารณาอย่างแนบเนียนปิติก็จะเกิดแรงขึ้น ท่านตื่นอกตื่นใจท่านปี๊ด... ท่านปี๊ด... ออกมาเลย แรงของปิติและก็อาจารย์มหาอีกองค์หนึ่งพอพูดถึงธรรมะตัวสั่นขึ้นมาเลย ปิติมันเกิดคนภาวนา มีปิตินี่ได้ผลเร็ว
หลวงพ่อพุธตอบ : ผมไม่เป็นแรงอย่างนั้น บางทีเวลามันเป็นพอเริ่มมีปิตินิดหน่อยแล้วจิตจะสว่าง สงบละเอียดๆๆลงไปจนกระทั่งตัวหายไปหมด บางช่วงพอสงบละเอียดตัวหาย มันไปนิ่ง ว่าง สว่างอยู่เฉยๆ แล้วมันก็ออกมาพอมันออกมาก็เกิดมีความคิดขึ้นมาปุ๊ดๆๆ ก็ตามรู้มันไปจนสุดช่วงมัน จนกว่าถึงเวลากันสมควรแล้วก็เลิก พอเลิกแล้วก็มาทำสติอยู่กับปัจจุบันนี่ ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ให้มีสติอยู่ตลอดเวลา เมื่อเรากำหนดสติรู้อยู่กับสิ่งที่เป็นปัจจุบัน เราก็รู้ความจริง สิ่งที่เราประสบในปัจจุบันนี่แหละที่มายุให้เราเกิดอารมณ์ดีใจ เสียใจ เกิดสุข เกิดทุกข์ ตาเห็นรูปไม่ดี รูปน่าเกลียดมันก็เกิดทุกข์ ได้ยินเสียงไม่ดีก็เกิดทุกข์ เพราะมันเกิดไม่พอใจ อะไรมันเกิดพอใจมันก็จะเกิดความสุขใจแต่มันเป็นกิเลสก็รู้ความจริงของมันอยู่ในปัจจุบันนี่ ทีนี้เลยขั้นเจตนาตั้งใจ พอเรารู้ว่ามันไม่ดี เอ้า ! เราไม่ทำสิ่งนี้ดีเป็นบุญเป็นกุศลเราทำ จุดที่เราแต่งอยู่ตรงนี้ การเดินจงกรม นั่งสมาธิ ภาวนามันขี้เกียจ เราก็ปรุงแต่งให้มันขยันขึ้น ส่วนในทางจิตทางใจ มันจะเป็นหรือไม่เป็นนั้นไม่สำคัญ อย่าไปสนใจกับมันมาก นักการปฏิบัตินี่เองมันเหตุให้เกิดผลอย่างนั้นเมื่อเราปฏิบัติถูกต้อง ศีลบริสุทธิ์ดี จิตบริสุทธิ์ คือ มุ่งต่อสมาธิเพื่อความบริสุทธิ์ ปัญญาความรู้ ความเข้าใจความเห็นมุ่งต่อความบริสุทธิ์ มุ่งต่อความรู้แจ้งเห็นจริง มันก็เป็นความบริสุทธิ์ทั้ง กาย วาจา ใจ เราปฏิบัติ เราไม่ได้ปฏิบัติเพื่อแลกกับอามิสสินจ้างรางวัลอะไร เราปฏิบัติเพื่อทำใจให้บริสุทธิ์ มันก็เป็นความเป็นบริสุทธิ์ ถ้าปฏิบัติอยากให้คนเคารพนับถือ อยากจะดีเหนือกว่าคนอื่น ใจมันไม่บริสุทธิ์ ปฏิบัติไป ใครจะไหว้ก็ช่าง ไม่ไหว้ก็ช่างใคร ใครจะนับถือก็ช่าง ไม่นับถือก็ช่าง เราปฏิบัติเพื่อดีของเราคนเดียว นี่ถ้าตั้งใจไว้อย่างนี้ ก็จะเป็นความบริสุทธิ์ถึงกิเลสมีอยู่มันก็บริสุทธิ์ เพราะเจตนามันบริสุทธิ์ คำถาม : นิพพานเป็นอัตตาหรือเป็นอนัตตา? หลวงพ่อพุธตอบ : นิพพานเป็นธรรมใช่มั๊ย นิพพานเป็นธรรม “สัพเพ ธัมมา อะนัตตา” ธรรมทั้งหลายทั้งปวงเป็นอนัตตา พระนิพพานก็ต้องเป็นอนัตตา เพราะผู้ที่บรรลุพระนิพพานแล้วไม่มีอัตตาตัวตน ไม่มีสมมติบัญญัติ เป็นสภาวจิตที่อยู่เหนือสมมติบัญญัติ เหนือกิเลสเพราะฉะนั้น พระนิพพานจึงเป็นอนัตตา
หลวงพ่อพุธตอบ : ตัวใหญ่ๆ นั่นปิติมันเกิด บางทีมันตัวเล็กนิดเดียวบางทีมันคล้ายๆกับว่าลอยอยู่บนอากาศ บางทีตัวมันหายไปหมด ให้กำหนดรู้อยู่เฉยๆ อย่าไปรบกวนมัน มันจะเป็นไงก็ช่างมัน ปล่อยในขณะที่มันเป็น ปล่อยมันไปเลย ทีนี้สิ่งที่มันเป็นตัวใหญ่ก็ดี ตัวเล็กก็ดี ตัวเบาก็ดี ตัวหนักก็ดี ตัวลอยก็ดี มันเป็นอาการเปลี่ยนแปลงของสภาวะ เมื่อเรามีสติกำหนดรู้อยู่ สติสัมปัชญญะดีขึ้นมันจะกำหนดหมายรู้ความเปลี่ยนแปลงของสิ่งเหล่านั้นว่าไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา ไม่ต้องไปกังวลใดๆทั้งสิ้น หน้าที่ของเรามีสติกำหนดรู้อย่างเดียว ในตอนแรกๆถ้าภาวนาแล้วจิตมันไม่อยู่มันมีแต่ความคิดฟุ้งๆๆขึ้นมา ปล่อยให้มันคิดไปเลยจนปล่อยให้มันคิดไปสุดช่วงแล้วมันหยุดเองอย่าไปบังคับมัน อย่างภาวนาพุทโธๆๆ เพียงแต่นึกพุทโธๆ อย่าไปบังคับจิตให้มันสงบ แต่ว่านึกพุทโธไม่หยุด
หลวงพ่อพุธตอบ : บางทีเราอาจเอาใจใส่เฉพาะเวลานั่งอย่างเดียว เวลาออกมาจากสมาธิแล้วเราไม่สนใจออกมาแล้วต้องทำสติตามรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ทุกขณะจิต ทุกลมหายใจ นี่คือแผนการปฏิบัติที่จะได้ผลแน่นอนที่สุด พวกฤาษีทั้งหลายนี่เขาภาวนาแล้วจิตเขาเข้าสมาธิ เขาภูมิใจในความมีสมาธิของเขาแต่ออกมาแล้วยังมาแช่งชักหักกระดูกนี่ยังมี เพราะขาดการเอาใจใส่ในการปฏิบัติภายนอก เพราะฉะนั้น ยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด นี่เป็นอารมณ์จิต ต้องมีสติระลึกรู้อยู่ตลอดเวลาที่ท่านอาจารย์ฝั้นท่านว่า “อย่าให้จิตมันว่าง” หมายความว่า อย่าให้ว่างจากความตั้งใจ อย่าให้ว่างจากการฝึกสติ ทุกสิ่งทุกอย่างมันเป็นอารมณ์จิต ให้มีสติรู้อยู่ตลอดเวลา
หลวงพ่อพุธตอบ : ความข้อง ความรัก ความคิด ติดข้องในนิสัยผู้หญิงติดข้องในเพศหญิง เช่น อย่างคนเป็นผู้ชายไปแต่งตัวเป็นผู้หญิง ทีนี้จิตมันก็ข้องเพราะความอยากเป็น มันถึงได้เป็นเช่นตัวอย่างคนใช้ของเศรษฐี เขาใช้ให้ขุนหมาทุกวัน อยู่มาวันหนึ่งแกก็คิดขึ้นมาว่า “ขนาดหมาเศรษฐียังได้กินดีกว่าเราเลย!” “เราน่าจะเป็นหมาเศรษฐีดีกว่า” อยู่มาภายหลังเศรษฐีจัดงานเลี้ยง อาหารที่เหลือจากงานเลี้ยงเขาก็ให้แกกิน เพราะเขาทำมาก พอเสร็จแล้วแกก็กินไปๆ “เอ้อ ! อร่อยนี่ เสร็จเราล่ะ จะกินเหมือนหมาเศรษฐี” กินซะจนพุงฉีกเสร็จแล้วตาย พอตายไปแล้วเกิดเป็นลูกหมาเศรษฐี เพราะจิตมันไปข้อง จิตมันไปข้องอยู่ที่ตรงไหนมันก็ไปติดอยู่ที่ตรงนั้น
หลวงพ่อพุธตอบ : มี พระอานนท์ เดินจงกรมจนเท้าแตก เวลาจะสำเร็จ สำเร็จในเวลาที่คิดจะพักผ่อนตั้งใจจะพักผ่อน พอเอนกายลงอยู่ในขณะครึ่งนอนครึ่งนั่ง ไม่ได้ตั้งใจเลยว่าจะให้สำเร็จ พอเสร็จแล้วจิตก็แว๊บเข้าที่ สำเร็จอรหันต์ไปเลย
หลวงพ่อพุธตอบ : ใช่ ถ้ามันไปสายวิปัสสนาก็เป็นโคตรภูญาน ถ้าไปสายสมถะก็เป็นฌาน โคตรภูญานก็เป็นฌานเหมือนกัน แต่ว่าฌานที่ประกอบด้วยปัญญา แต่ฝ่ายฌานสมาบัติมันสงบนิ่งเงียบไปเฉยๆ แต่ว่าโคตรภูญานมันจะปรากฏเหตุการณ์สิ่งรู้ทั้งหลายขึ้น ทำให้จิตรู้แจ้งเห็นจริง รู้เค้ารู้เงื่อนของอวิชชา รู้ว่าสัตว์ตาย เกิดเพราะอะไร ทำไมสัตว์จึงเป็นไปต่างๆกัน บ้างก็เกิดเป็นสัตว์ บ้างก็เกิดเป็นมนุษย์ บ้างก็เกิดเป็นเทวดา เพราะอะไร มันจะค้นคว้าของมันเรื่อยไป
คำถาม : เมื่ออยู่ในสมาธิขั้นนั้นแล้ว เราไม่สามารถที่จะทำอะไรได้ใช่ไหมครับ? หลวงพ่อพุธตอบ : เราทำอะไรไม่ได้นอกจากภูมิจิตมันจะเป็นไปเอง ส่วนภาคปฏิบัติเรากำหนดหมายการพิจารณาอารมณ์ต่างๆ เมื่อจิตยังไม่สงบ ทีนี้เมื่อสงบไปแล้วสิ่งที่เรากำหนดพิจารณานั่นแหละ มันจะเป็นพลังงานหนุนส่งให้จิตไปเกิดภูมิความรู้ขั้นโคตรภูญาน
หลวงพ่อพุธตอบ : ท่านไม่เกี่ยวข้องแล้ว ที่ว่าโปรดสัตว์โลกนั้น เป็นแต่เพียงจิตสำนึกของผู้ที่เลื่อมใสบางทีเราระลึกถึง เราภาวนาเห็นพระพุทธเจ้า มันเป็นมโนภาพที่จิตของเราแสดงขึ้นมาเอง
หลวงพ่อพุธตอบ : ในขณะที่จิตของเรายังคิดไม่เป็น ก็กำหนดรู้ว่าร่างกายเป็นอย่างไร การกำหนดดูกายก็คือการกำหนดลมหายใจเข้า ลมหายใจออกนั่นเอง เพราะการหายใจเข้า หายใจออกเป็นธรรมชาติของร่างกาย มันเป็นสิ่งที่เป็นเองอยู่โดยธรรมชาติ นอนหลับปอดก็ยังหายใจ นอนหลับหัวใจ ใจก็ยังเต้น นั่นคือธรรมชาติของร่างกายเรากำหนดดูสิ่งที่เป็นอยู่โดยธรรมชาติ อย่าไปแต่งมัน แม้แต่จิตของเราก็ไม่สมควรจะไปแต่งให้มันเป็นอย่างนั้น ให้มันเป็นอย่างนี้ให้มันเป็นไปเอง หน้าที่ของเราเพียงแต่กำหนดรู้อย่างเดียว รู้อย่างเดียว อย่างเราอยู่ในเวลานี้เรากำหนดรู้ที่จิตของเรา ดูที่จิตของเรา ในเมื่อเรารู้อยู่ที่จิต ขณะที่จิตกับกายมันยังสัมพันธ์กันอยู่ลมหายใจก็ปรากฏอยู่ สุขทุกข์ เกิดที่กายเราก็รู้อยู่ เพราะกายกับจิตยังสัมพันธ์กันอยู่ ดูมันไปเรื่อยๆ เมื่อภูมิจิตละเอียดเข้าๆ มันสงบไปๆ จนกระทั่งตัวหาย มันก็เหลือจิตที่รู้ตื่น เบิกบานแจ่มใส อยู่พอมันถอน ออกมาแล้ว มันก็กำหนดดูความเป็นไปของร่างกายเองอย่าไปเที่ยวเชื่อคนภาวนาไม่เป็น บางท่านก็ว่า พุทโธ จิตมันได้แต่สมถะไม่ถึงวิปัสสนา ต้องอย่างนี้ถึงจะถึงวิปัสสนาอะไรทำนองนี้ อย่าไปเชื่อ ยุบหนอ พองหนอก็เป็นอารมณ์จิต พุทโธ ก็เป็นอารมณ์จิต สัมมาอะระหัง ก็เป็นอารมณ์จิต กำหนดรู้จิตอยู่เฉยๆ ก็เป็นอารมณ์จิต ลมหายใจเข้า หายใจออก ก็เป็นอารมณ์จิต ในเมื่อจิตมีอารมณ์สิ่งรู้ ผู้ปฏิบัติทำสติกำหนดรู้สิ่งที่อยู่ในปัจจุบัน นั่นเป็นการปฏิบัติธรรม การปฏิบัติสิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือเรื่องวินัย รักษาวินัยให้มันบริสุทธิ์สะอาด ศีลนี่ต้องบริสุทธิ์
หลวงพ่อพุธตอบ : เมื่อมันคิดเองปล่อยให้มันคิดไป แล้วก็ตามรู้ๆๆมันไป มันจะตามรู้อารมณ์อย่างนั้นเป็นปีๆ แล้วก็ไม่สงบอย่างที่เคยสงบมาแล้ว เราก็กำหนดสติรู้อยู่อย่างนั้นแหละเมื่อเรามีสติกำหนดรู้อยู่ สภาพของจิตมันจะค่อยมีกำลังแก่กล้าขึ้นมีปัญญาเฉลียวฉลาดขึ้น ท่านอาจารย์เสาร์ท่านว่า “เวลานี้จิตข้ามันไม่สงบ” “จิตข้ามันไม่สงบ มันมีแต่ความคิด” อันนั้นหมายถึงว่าจิตกำลังต้องการทำงาน ถ้ามันไปสงบนิ่งอยู่เฉยๆ มันไม่ทำงาน มันก็ไม่มีปัญญา เพราะฉะนั้น ช่วงใดที่มันนิ่งปล่อยให้มันนิ่ง ช่วงใดที่มันคิดปล่อยให้มันคิด แต่เราต้องมีสติ ถ้ายิ่งสติมีพลังแก่กล้าขึ้น ความสงบนิ่งเงียบอย่างก่อนนั้นมันจะไม่มี
หลวงพ่อพุธตอบ : ให้ทำไปเรื่อยๆ เมื่อมันคล่องตัวแล้วมันจะไปของมันเองมันจะไปจนถึงขนาดที่ว่าพอมันไปถึงที่สุดของมันนี่ เราจะรู้สึกว่ากายของเราหายไปหมด ยังเหลือแต่จิตดวงเดียวสว่างไสวอยู่ เมื่อจิตไปสู่แดนที่สว่างไสว แดนว่าง ในขณะแรกนี่มันจะว่างของมันอยู่เฉยๆ ทีนี้เมื่อต่อไปมันมีพลังงานมากขึ้นๆ มันจะมองลงมาดูโลกทั้งหลายมองเห็นคล้ายๆกับว่าแสงสว่างของเรานี่คลุมโลกอยู่แล้วมันจะมองเห็นหมด ต้นไม้ ภูเขา อะไรต่างๆ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ภูติผีปีศาจ มันจะมองเห็นอยู่อย่างนั้น มันก็จะรู้... อยู่ของมันหนักๆ มันจะรวมเข้ามาจริงๆ มันจะมองเห็นร่างกายตัวเองนอนตายอยู่ แล้วก็ขึ้นอืด เน่าเปื่อย ผุพัง สลายตัวไปจนไม่มีอะไรเหลือแล้ว เมื่อมันไปอยู่ของมันพอสมควรแล้ว มันจะออกมาของมันเอง อย่าไปกลัวมัน
หลวงพ่อพุธตอบ : เพราะความกลัวนั่นแหละมันถึงไปไม่ได้ ทีหลังอย่าไปกลัวมัน ปล่อยมันเลย เอ้า! มันจะเป็นยังไงก็เป็นกัน พี่เขยของหมอวิยะดาไปอยู่อเมริกา ไปป่วยจนอาการหนักจนหมอเขาไม่รับรอง เขาบอกว่ามีแต่ตายลูกเดียว พอแกรู้ว่าหมอบอกว่าไม่มีทางรอด แกก็ปล่อยวางหมดเป็นไงเป็นกัน พอเสร็จแล้วจิตมันก็วิ่งออกไปลอยอยู่เหนือร่างกาย มองเห็นกายตัวเองขึ้นอืด เน่าเปื่อย ผุพัง สลายไปหมด ไม่มีอะไรเหลือ พอฟื้นขึ้นมาโรคที่เป็นอยู่นั้นมันหาย เมื่อก่อนนี้เขาเป็นมะเร็งในลำไส้ ให้เลือดเท่าไหร่ก็ไหลผ่านๆ ไม่หยุด พอแกฟื้นขึ้นมาแล้วเลือดที่ไหลมันก็หยุด ภายหลังก็ค่อยๆเบาขึ้นๆ ดีขึ้นๆ จนกระทั่งกลับมาเมืองไทยได้เมื่อเขามาแล้วก็มาถามน้องสาวว่า “มีพระที่ไหนพอจะแก้ปัญหาทางจิตได้บ้าง” หมอวิยะดาก็พามาหาหลวงพ่อที่นี่ หลวงพ่อก็มีภาพนิมิตที่ให้พระเขียนเอาไว้มีอยู่ชุดหนึ่ง เอามาให้ดู พอเขาพลิกดูก็บอกว่า”ผมเป็นอย่างนี้เหมือนกัน ผมไม่ได้ภาวนาทำไมมันเป็นไปได้” ก็เลยบอกว่า “สัญชาตญาณของจิตมันเป็นอย่างนั้น อาศัยที่ว่าคุณเคยภาวนาในชาติก่อน ในภพก่อน คนที่อยากจะทำสมาธิภาวนานี่ต้องมั่นใจว่าเรามีอุปนิสัยเคยภาวนามาแล้ว” คำถาม : อ่านหนังสือก็ว่าปฏิบัติอันนั้นปฏิบัติอันนี้ดี เลยสับสนไม่รู้ว่าจะเอาอันไหนดี? หลวงพ่อพุธตอบ : การปฏิบัติที่เป็นพื้นฐานต้องยึดอันนี้ให้เหนียวแน่น ฝึกสติรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ซึ่งเป็นเรื่องชีวิตประจำวัน ฝึกอยู่ที่ตรงนี้ พอเดินรู้ ยืนรู้ นั่งรู้ นอนรู้ รับประทานรู้ ดื่มรู้ พูดรู้ คิดรู้ มีสติตามรู้อยู่ตลอดเวลา เวลาทำงานมีสติรู้อยู่กับการทำงาน เวลามีความคิดมีสติรู้อยู่กับความคิด เวลาพูด มีสติรู้อยู่กับคำพูด แม้แต่รับประทานก็มีสติรู้อยู่กับการรับประทาน จะเอาในขณะที่เรารับประทานแล้วเราใช้ความคิดว่าเรารับประทานอาหารเพื่ออะไร เราก็จะตอบปัญหาของเราเรื่อยไปๆ
หลวงพ่อพุธตอบ : ถ้าทำสมาธิได้จริงๆ ก็สามารถที่จะรักษาได้เป็นบางขณะหรือบางช่วง ถ้าโรคหัวใจไม่เป็นแรง ก็สามารถจะหายเพราะพลังของสมาธิได้ อันนี้ยืนยันเด็ดขาดไม่ได้ว่ามีสมาธิแล้วรักษาโรคหัวใจหาย
หลวงพ่อพุธตอบ : อันนี้คนโบราณเขารักษาโรคภัยไข้เจ็บด้วยพลังของสมาธิ เช่น อย่างเด็กน้อยเป็นตาแดงก็ไปเป่า เขาสำรวมจิตท่องมนต์ของเขา อาศัยความเชื่อมั่นในมนต์นั้นแล้วก็เป่าลงไป เด็กเป็นโรคตาแดงหายได้ อันนี้ก็คือการรักษาโรคด้วยพลังจิต
หลวงพ่อพุธตอบ : ถ้าทำจริงก็มีผล คือเกิดสมาธิ ได้บอกแล้วว่าสมาธิเป็นกิริยาของจิต เราจะทำสมาธิในท่านั่งแบบไหน อย่างไร ก็ได้ ยืน เดิน นั่ง นอน เมื่อเรามีการกำหนดรู้จิตหรือบริกรรมภาวนา กำหนดรู้อารมณ์จิต หรือกำหนดรู้การยืน เดิน นั่ง นอน รับประทาน ดื่ม ทำ พูด คิด ตลอดเวลา ได้ชื่อว่าเราฝึกสมาธิหรือทำสมาธิจะนั่งทับซ้ายทับขวาอันนั้นมันเป็นวิธีการ วิธีการที่นิยมๆกันมา พวกลัทธิโยคีเขานั่งสมาธิเขาเอาศรีษะนั่ง เขาฝึกขัดสมาธิแล้วเอาศรีษะตั้งลง เอาทางก้นชี้ขึ้นฟ้า บางทีก็เหยียดยาวเขาก็ทำสมาธิเหมือนกัน เพราะฉะนั้น จะทับขวาทับซ้ายได้ทั้งนั้น แล้วแต่ถนัด แล้วแต่ความแน่ใจ ทำไปแล้วอย่าข้องใจสงสัยเป็นการใช้ได้
หลวงพ่อพุธตอบ : พึงทำความเข้าใจว่า การทำสมาธิคือการนอนหลับ เมื่อเราภาวนาแล้วจิตมันเคลิ้มๆลงไป บางทีใจลอยๆ นั่นคืออาการที่มันจะเกิดความหลับ เมื่อมันวูบ วูบ ลงไป อาการหลับวูบลงไปเป็นอาการที่จิตก้าวเข้าสู่ภวังค์ เมื่อจิตถึงที่สุดของภวังค์แล้ว จิตหยุดนิ่ง ถ้าพลังสมาธิยังไม่เพียงพอก็นอนหลับอย่างธรรมดาแต่ถ้าพลังของสมาธิเพียงพอสติพร้อมจิตวูบลงไปนิ่งปั๊บ สว่างโพลงขึ้นมา กลายเป็นสมาธิ
หลวงพ่อพุธตอบ : อันนี้ ในลักษณะอย่างนี้ถ้าหากว่าเกิดในขณะที่เรานั่งสมาธิพอจิตมีอาการเคลิ้มๆ ลงไปแล้วก็อยู่ในลักษณะครึ่งหลับ ครึ่งตื่น สะลึมสะลือ จิตสว่างเรื่อๆ เมื่อจิตส่งกระแสออกไปข้างนอกย่อมเกิดมีนิมิตต่างๆ เกิดขึ้นแล้วแต่จะปรุงแต่งขึ้นมา บางที่เห็นคน เห็นสัตว์ บางทีฝันไปว่าได้ทำงาน อันนี้มันเกิดจากสมาธิอ่อนๆ ฝันก็คือนิมิต นิมิตก็คือฝัน แต่ถ้านอนหลับแล้วฝันไป เรียกว่าฝัน นั่งอยู่เกิดสมาธิอ่อนๆ เห็นโน่นเห็นนี่ เรียกว่านิมิต อันเดียวกัน
หลวงพ่อพุธตอบ : เป็นเรื่องของธรรมดา ถ้าเรายืนหลับตา ไม่ได้ยืนสมาธิ ถ้าเราหลับตาแล้วเราจะรู้สึกว่าร่างกายมันเอียงหรือบางทีอาจจะล้มทั้งยืนก็ได้ ถ้าจะยืนกำหนดจิตแล้วมีอาการอย่างนั้นก็อย่าไปหลับตา หากจิตมีอาการเคลิ้มๆ เหมือนกับจะหลับ ถ้าเราเผลอไปไม่ได้ตั้งใจที่จะประคองตัวให้อยู่ในสภาพเดิมแล้ว ร่างกายมันก็โงนเงนไป อันนี้เป็นเรื่องของธรรมดา ถ้ามีอาการอย่างนั้นก็เป็นธรรมดาที่จิตจะถอนจากสมาธิ เป็นเพราะเหตุ? เป็นเพราะจิตกำลังจะปล่อยวางอารมณ์แล้วเข้าไปสู่ความสงบ เมื่อมีอาการปล่อยวางอารมณ์แล้วก็ปล่อยความรู้สึกที่จะพยุงกายให้ยืนอยู่อย่างเดิมได้ แล้วก็มีอาการเอนเอียงไปเหมือนๆจะล้มลงไป อันนี้เป็นธรรมชาติเป็นธรรมดา
หลวงพ่อพุธตอบ : การปฏิบัตินี่แม้ว่าเราจะมีความตั้งใจจะรักษาโรค หรือไม่รักษาโรคก็ตาม แต่เมื่อมีการปฏิบัติจิต มีสมาธิ มีสติปัญญา มีความสงบสว่าง รู้ตื่น เบิกบาน มันก็กลายเป็นยารักษาโรคจิต ทำให้จิตมีความเป็นปกติ ไม่หวั่นไหวต่อความเจ็บไข้ได้ป่วย แล้วก็ทำให้จิตมีพลังงานด้วยอำนาจ แห่งความสว่างไสวของจิตถ้าจิตดวงนี้วิ่งเข้ามาอยู่ภายในกายมาสว่างไสว อยู่ในท่ามกลางของกายสามารถที่จะแผ่กระแสแห่งความสว่างไสวไปทั่วหมดทั้งกาย ความเป็นโรคภัยไข้เจ็บ หรือความติดขัดในประสาทส่วนต่างๆ ซึ่งเป็นท่อทางเดินของลมและโลหิตพลังจิตอันนี้จะไปช่วยหมุนให้กระแสความหมุนเวียนของโลหิตและลมเดินได้คล่องตัวเพราะว่าลม ละเอียดสามารถที่จะปรุงกายให้เบา ลมละเอียดสามารถที่จะปรุงโลหิตให้เดินไปอย่างคล่องตัวโดยไม่มีอุปสรรคอันใดติดขัด
อยู่มาวันหนึ่งมีความคิดเกิดขึ้นว่า ก่อนที่เราจะตายควรจะได้รู้ว่าความตายคืออะไร วันนั้นก็ตั้งใจนั่งสมาธิตั้งแต่ ๓ ทุ่ม จนกระทั่งถึงตี ๓ ในช่วงที่นั่งสมาธิอยู่นั้นจิตสงบเพียงเล็กน้อย ส่วนใหญ่ไม่สงบ แล้วก็มีความเดือดร้อนทนทุกขเวทนา แต่ก็อดทนเอาเพราะอยากรู้อยากเห็น ทนไปได้ถึงตี ๓ จาก ๓ ทุ่มทนไปได้ถึงตี ๓ พอถึงตี ๓ แล้วเวทนาความเมื่อย ทั้งเมื่อยทั้งหิวตามประสาของคนไข้ ทีนี้จิตมันก็คิดขึ้นมาว่าวันนี้ไม่สำเร็จเราควรจะพักผ่อน พอคิดว่าเราจะพักผ่อน พอตั้งใจจะหยุดนั่งสมาธิเท่านั้น เจ้าจิตภายในมันก็บอกว่า “คนทั้งหลายเขานอนตายกันทั้งโลก ท่านจะมานั่งตาย มันจะตายได้อย่างไร?” พอความรู้มันเกิดขึ้นมาอย่างนี้ ก็เลยมานึกเสริมเอาว่า ถ้างั้นก็นอนตายซิ แล้วก็นอนลงทั้งๆ ยังขัดสมาธิอยู่ พอนอนลงไปแล้วมันก็ทอดอาลัยตายอยาก กำหนดรู้แต่ลมหายใจเพียงอย่างเดียว พอปรากฏว่าลมหายใจมันค่อยละเอียดๆๆเข้า ความสว่างของจิตก็บังเกิดขึ้น ในตอนแรกๆ มันก็มีความสว่างแผ่ซ่านไปรอบตัว เมื่อหนักๆเข้ามันก็รวมจุดอยู่ที่กลางตัวระหว่างราวนมทั้งสองข้าง ตรงที่เรานึกว่ามีหัวใจ ภายหลังความสว่างอันเป็นดวงนั้น มันก็วิ่งขึ้นวิ่งลงตามระยะจังหวะของการหายใจ ในที่สุดเวลาของการหายใจออก ดวงอันนั้นมันก็วิ่งออกมาตามลมหายใจ แล้วก็ลอยขึ้นไปเบื้องบนแล้วก็ลอยย้อนกลับไปกลับมาๆอยู่ ในที่สุดมันก็ตัดขาดจากกายแล้วก็ลอยไปแต่ดวงสว่างอันเดียวเท่านั้น ในขณะนั้น ร่างกายตนหายไปหมด คล้ายๆกับจิตดวงนี้ไปลอยเด่นอยู่ในท่ามกลางแห่งความว่าง โลกคือผืนแผ่นดินก็หายไปหมด ทุกสิ่งทุกอย่างหายไปหมด ยังเหลือแต่อากาศคือความว่าง พอจิตดวงนี้มันเกิดรวมมาสู่วิญญาณคือตัวรู้แล้วมันก็รวมพลังขึ้นมาเกิดความสว่างใหญ่โตมโหฬารแล้วโลกก็ปรากฏขึ้น ผืนแผ่นดินก็ปรากฏขึ้นในช่วงนั้น คล้ายๆกับว่าความสว่างแห่งดวงจิตนั้นมันแผ่คลุมโลกไปทั้งหมด มันสามารถที่จะมองเห็นต้นไม้ ภูเขาเลากาเห็นบ้านเห็นเมือง เห็นผู้เห็นคน เห็นจนกระทั่ง ภูติผีปีศาจ เทวดา อินทร์ พรหม ยม ยักษ์ ทะลุปรุโปร่งหมดแล้ว ในขณะที่มองเห็นอยู่นั้น จิตมันก็อยู่เฉยๆ มันไม่บอกว่าอะไรเป็นอะไร แล้วภายหลังมันก็ละทิ้งการรู้การเห็นอย่างนั้น ทุกสิ่งทุกอย่างหายไป ยังเหลือแต่แผ่นดิน แล้วก็ปรากฏว่าร่างกายมานอนอยู่ภายใต้ความสว่าง เมื่อเป็นเช่นนั้นร่างกายมันก็ขึ้นอืด ตอนแรกมองเห็นสบงจีวรห่มคลุมอยู่ ในระยะที่ ๒ ร่างกายเปลือยเปล่า ไม่มีอะไรปกปิด ในระยะที่ ๓ ปรากฏว่าขึ้นอืด ระยะที่ ๔ มีน้ำเหลืองไหล ระยะที่ ๕ กระดูกผุพังสลายตัวไปหมด ระยะที่ ๖ มองเห็นแต่โครงกระดูก ระยะที่ ๗ โครงกระดูกก็ทรุดฮวบลงไปแหลกละเอียด แล้วก็หายสาบสูญไปในผืนแผ่นดิน อีกสักพักหนึ่งก็โผล่ขึ้นมาเป็นผงแล้วก็เกาะกันเป็นก้อน เป็นท่อนเล็ก ท่อนน้อย แล้วก็ประสานตัวเป็นชิ้นกระดูกโดยสมบูรณ์ แล้วก็มาสร้างเป็นโครงสร้างขึ้นมา ศรีษะกระโดดมา กระดูกคอ กระดูกสันหลังกระโดดต่อกันตามตำแหน่งของตัวเอง กระดูกส่วนอื่นๆ ก็กระโดดเข้ามาประจำตำแหน่งของตัวเองกลายเป็นโครงสร้างเป็นโครงกระดูกอีกตามเดิมแล้วเนื้อหนังก็ค่อยงอกขึ้นมาจนสมบูรณ์เต็มที่แล้วก็สลายตัวเน่าเปื่อยผุพังต่อไปอีกกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้นไม่ทราบว่ามันเป็นกันอยู่กี่ครั้ง กี่หน บางครั้งก็มองเห็นเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ปรากฏขึ้น เสร็จแล้วจิตมันก็ได้แต่มองดูอยู่เฉยๆ คล้ายๆ กับว่ามันไม่ร้อนใจอะไร มันเฉยๆอยู่ สักแต่ว่ารู้อยู่เห็นอยู่มีอยู่เป็นอยู่ แต่วาระสุดท้ายเมื่อมันจะรู้สึกตัวตื่นขึ้นมา หลังจากที่มันมาประสานกันเป็นรูปร่างสมบูรณ์แล้ว เจ้าตัวจิตวิญญาณที่ลอยอยู่นั่นมันไหวตัวนิดหนึ่ง แล้วก็ทรุดฮวบลงมาปะทะกับหน้าอกแผ่วๆ หลังจากนั้นความสว่างของดวงจิตนั้นมันก็หายไป ร่างกายก็ค่อยรู้สึกตัวขึ้นมาทีละน้อยๆ เวลามันรู้สึกตัวขึ้นมานั้น มันก็มีอาการคล้ายๆกับว่ามีอะไรวิ่งซู่ซ่าไปตามส่วนต่างๆของร่างกาย แล้วค่อยรู้สึกตัวขึ้น จนกระทั่งรู้สึกว่าความรู้สึกมันเป็นปกติ ทีนี้มากำหนดดูตอนนี้ร่างกายปรากฏขึ้นมาแล้ว ความตั้งใจที่จะกำหนดอะไรมันเกิดขึ้นมา พอมันรู้สึกตัวอย่างเต็มที่เจ้าจิตนี่มันก็เทศน์ให้กับตัวเองฟังฉอดๆ “นี่หรือคือการตาย” คำตอบก็บอกว่า “ใช่แล้ว” ตายแล้วมันต้องเน่าเปื่อยผุพังสลายตัวไป มันเกิดเน่าเปื่อยแล้วก็เป็นของปฏิกูลน่าเกลียดโสโครก เมื่อมันสลายตัวไปก็เป็นดิน เป็นน้ำ เป็นลม เป็นไฟ ไหนเล่าสัตว์บุคคลตัวตนเราเขามีที่ไหน มันก็บอกให้รู้อย่างนี้ พอมันจบกลอนเทศน์ของมันแล้ว จิตก็มานิ่งว่างอยู่เฉยๆ ความคิดมันเกิดสงสัยขึ้นมาว่า เราตายจริงหรือเปล่า แล้วก็ยก ๒ มือขึ้นมาคลำดูหน้าอก “อ้อ ยังไม่ตาย” แล้วก็ลืมตาดูนาฬิกา ๒ โมงเช้า พอลืมตาขึ้นมาดูก็มองเห็นโยมอุปัฎฐากมาทำอะไรก๊อกแก๊กๆอยู่ที่นั่น พอเขาเห็นลุกออกมาจากที่นอน เขาก็ทักว่า “เข้าใจว่าไปซะแล้ว!” “กำลังจะไปปลุกอยู่เหมือนกัน ถ้า ๒ โมงไม่ตื่นละก้อ ทนไม่ไหวแน่ ต้องไปดึงขาแน่! “ ทีนี้หลังจากนั้น ความเจ็บป่วยก็ค่อยเบาขึ้นๆ แล้วก็สบายเรื่อยๆมา เลือดที่ออกอยู่มันก็หยุดไป แล้วก็หายไปจนกระทั่งบัดนี้ โรคอันนี้ไม่เคยกำเริบอีกซักที จะว่าสมาธิรักษาวัณโรคก็ถูก หรือวัณโรครักษาสมาธิก็ถูก
หลวงพ่อพุธตอบ : การรักษาโรคด้วยพลังกายนี้ หมายถึงการออกกำลังกายให้ถูกสัดส่วน เป็นสิ่งจำเป็น อันนี้ยืนยันได้ เพราะว่าการออกกำลังกายนี้ สามารถทำให้โรคบางอย่างหาย เช่น อย่างโรคเหน็บชาให้หายได้ การออกกำลังกายหรือการบริหารกายให้สม่ำเสมอ สามารถที่จะรักษาโรคให้หายได้ อันนี้โลกเขายอมรับ หมอทั้งหลายนี้เมื่อรักษาคนไข้เขาก็แนะนำให้ออกกำลังกายแต่ว่าทางใจนี่ วงการแพทย์เขายังไม่ยอมรับ
หลวงพ่อพุธตอบ : การกำหนดจิต คือการตั้งใจรู้ หมายถึงการตั้งใจรู้ความรู้สึกของตัวเอง ความรู้สึกอยู่ที่ตรงไหน จิตอยู่ที่ตรงนั่นเรียกว่าการกำหนดจิต ทีนี้การทำสติก็คือ การตั้งใจกำหนดรู้จุดที่มีความรู้สึกอยู่ที่ตรงนั้น ส่วนใหญ่ความรู้สึกของเราจะปรากฏที่ลมหายใจ เมื่อความรู้สึกอยู่ที่ลมหายใจก็กำหนดที่ลมหายใจ ก็เรียกว่าการกำหนดจิตไว้ที่ตรงนั้น จะหลับตาหรือลืมตาก็ได้ ถ้าหากสมมติว่าเราตั้งใจว่าจะเดินไปที่ตรงนี้ ก้าวที่ ๑ ก็รู้ ก้าวที่ ๒ ก็รู้ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็รู้ อันนี้เรียกว่ากำหนดจิตตามรู้ การเดินเรานั่งอยู่ที่ตรงนี้ เราตั้งใจจะกำหนดรู้ รู้เรื่องกายของเราว่าสุขทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรหรือไม่ เช่น เวทนา เป็นต้น เราตั้งใจจะกำหนดรู้ รู้เรื่องกายของเราว่าสุขทุกข์เกิดขึ้นอย่างไรหรือไม่ เช่น เวทนา เป็นต้น การตั้งใจกำหนดรู้เวทนา ก็เรียกว่าการกำหนดจิต การกำหนดรู้ความคิด ก็เรียกว่าการกำหนดจิต การพิจารณาธรรมหรือตั้งใจคิดอะไรต่างๆด้วยความตั้งใจ ได้ชื่อว่าเป็นการกำหนดจิตทั้งนั้น เพราะเราอาศัยจิตเป็นตัวรู้
หลวงพ่อพุธตอบ : การทำสมาธิไม่ต้องไปตั้งจุดมุ่งหมาย เพื่ออะไรทั้งนั้น แต่เราจำเป็นจะต้องกำหนดตั้งใจบริกรรมภาวนาเรื่อยไป ถ้าอย่างสมมุติว่าภาวนาพุทโธๆ หรือภาวนาเกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ เป็นต้น ในขณะที่เรากำหนดภาวนาอยู่นั้น หน้าที่ของเรามีเพียงแต่ท่องเกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ, ตะโจ ทันตา นะขา โลมา เกสา ท่องด้วยความรู้สึกเบาๆอย่าไปข่มจิต อย่าไปบังคับจิต เรื่องความคิดว่าเมื่อไรสมาธิจะเกิดเมื่อไรจะรู้จะเห็น ไม่ต้องไปคิด หน้าที่ของเรามีแต่ท่องบริกรรมภาวนาอย่างเดียว ทำเหมือนท่องเล่นๆ ท่องเล่นๆ โดยไม่ต้องการผลตอบแทนใดๆ อันนี้เป็นการทำสมาธิด้วยการบริกรรมภาวนา
หลวงพ่อพุธตอบ : อันนี้ไม่เป็นอุปสรรคขนาดนั้น วิธีการขอขมาโทษ ขอขมาโทษลับหลังก็ได้ ต่อหน้าก็ได้ บางทีถ้าเราสำนึกถึงโทษ เมื่อท่านมรณภาพไปแล้วก็เขียนชื่อท่านแล้วก็ขอขมาโทษท่าน ถ้ามีรูปท่านก็ขอขมาต่อรูปท่าน ก็ถือว่าเป็นการหมดบาปหมดกรรม ถ้าท่านเป็นอริยสงฆ์จริงๆ ท่านก็ไม่ผูกกรรมทำเวรกับใคร
หลวงพ่อพุธตอบ : มันเป็นจิตสำนึกของผู้ทำพิธีเชิญ ถ้าหากว่าอยู่ๆ แล้ววิญญาณก็เข้ามาประทับทรงอันนั้นเรียกว่าผีสิง ผีสิงกับผีทรงนี้มันต่างกันถ้าหากไม่มีพิธีอัญเชิญแล้วมีวิญญาณมาทรงอันนั้นเขาเรียกว่าผีสิง แต่ทำพิธีอันเชิญเขาเรียกว่าเชิญวิญญาณ เชิญวิญญาณที่เข้ามาทรงส่วนใหญ่มันจะไม่เป็นความจริง แต่วิญญาณที่จะเข้ามาทรงนั่นมีจริงๆแต่ไม่ใช่วิญญาณของผู้นั้นมาทรง
หลวงพ่อพุธตอบ : การภาวนากำหนดนับลูกประคำ ก็เป็นอุบายวิธีหนึ่งที่ทำให้จิตสงบเป็นสมาธิได้ ถ้าใครพอใจก็ทำได้ไม่ผิด ! สมมติว่าเราจะสวดพุทธคุณ ๑๐๘ จบหนึ่งเราก็เลื่อนไปหนึ่ง เราตั้งใจสวด สวดเมื่อฝึกจนคล่องตัวจนชำนิชำนาญสมาธิมันจะเกิดขึ้นในระหว่างได้ เช่น อย่างเวลาเราสวดมนต์ เราตั้งใจสวด กำหนดจิตให้มันชัดๆ ในบทสวด อย่าสักแต่ว่ารีบสวดๆ ให้มันจบ สวดไปตัวหนึ่ง อิ ติ ปิ โส ภะคะว่า อะ ระ หัง สัม มา สัม พุท โธ กำหนดให้มันชัดๆ แล้วบางทีสวดไปสมาธิมันจะเกิดขึ้นในขณะที่กำลังสวดมนต์ คือจิตมันจะหยุดสวดมนต์แล้วนิ่ง มันทำได้ทั้งนั้นแหละ เป็นอุบายวิธี อย่างภาวนาพุทโธๆๆ นับลูกประคำไปด้วยก็ได้อันนั้นมันเป็นอุบาย บางท่านท่องบริกรรมภาวนาแทบเป็น แทบตาย จิตมันไม่สงบบางทีอยู่เฉยๆไม่ได้ตั้งใจจะภาวนาจิตสงบเป็นสมาธิได้ก็มีถมไป
|