Thursday, 23 February 2012 07:13 |
ประสบการณ์เด็กๆ ที่เข้าค่ายอบรมพัฒนาจิต ณ ศูนย์พัฒนาจิตเฉลิมพระเกียรติ วัดวะภูแก้ว ชีวิตเปลี่ยนได้ที่นี่ เมื่ออดีตที่ผ่านมา... ข้าพเจ้ามีช่วงชีวิตที่แสนจะตกต่ำที่สุด คือ ช่วงที่ข้าพเจ้าเรียนอยู่ชั้นมัธยมต้น ข้าพเจ้ามีนิสัยชอบเที่ยวและติดเพื่อน เข้าแต่สถานบันเทิง เสพสุราและสูบบุหรี่ โดยแทบไม่ได้กลับบ้านเป็นเวลาหลายเดือน เงินที่ได้มาใช้จ่ายก็เป็นเงิน ที่เพื่อนได้มาอย่างไม่บริสุทธิ์เท่าไรนัก ส่วนที่นอน ข้าพเจ้าก็ตระเวนนอนตามบ้านเพื่อนบ้าง โรงแรมบ้าง หอพักบ้าง เหตุที่ทำไปก็เพื่อประชดพ่อแม่ที่แยกทางกัน แล้วให้มาอาศัยอยู่กับย่าและปู่ จนเป็นเหตุให้ข้าพเจ้าไม่เข้าเรียน และติดศูนย์ (๐), มผ. เกือบ ๒๐ ตัว เกรดต่ำมาก (๐.๘) แต่ข้าพเจ้าก็ไม่รู้สึกอะไร
จนวันหนึ่งแม่ทราบข่าว จึงพาข้าพเจ้าไปอยู่ด้วย แม่ขอร้องทั้งน้ำตาและแทบจะกราบข้าพเจ้าให้ไปแก้ศูนย์และเรียนต่อ ชั้น ม. ๔ ให้แม่ ข้าพเจ้ารู้สึกลำบากใจ จึงรับปากแม่ไป แล้วคิดว่าคงทำไม่ได้หรอก เพราะหมดเขตรับสมัครชั้น ม. ๔ ในอีกแค่ ๑ เดือน ข้าพเจ้าสู้และพยายามสุดๆ สุดท้ายก็ได้เข้าชั้น ม. ๔ สายศิลป์ ก็ไม่ได้เรียนดีอะไร เกรดก็ ๒ ต้นๆ วันหนึ่ง โรงเรียนได้จัดให้มีการฝึกอบรมพัฒนาจิตที่วัดวะภูแก้ว ตอนแรกๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไร เพราะก็ต้องไปตามที่ครูบอกอยู่แล้ว ที่วัดวะภูแก้วบรรยากาศดีมาก แต่ก็ทรมาน เพราะต้องสวดมนต์นานๆ นั่งสมาธิ ฟังบรรยาย ทำให้ข้าพเจ้าต้องผ่อนคลายโดยการสูบบุหรี่กับเพื่อนๆ ต่อมาประมาณวันที่ ๓ รู้สึกตัวเองแย่มาก เนื่องจากได้ฟัง การบรรยายจากวิทยากรและการอบรมสั่งสอนของ ดร. ดาราวรรณ เมื่อสำนึกได้จึงเริ่มทำตัวดีขึ้น จนมาถึงวันที่ ๔ ได้ฟังบรรยายเรื่องพระคุณอันยิ่งใหญ่ โดยเฉพาะเรื่องแม่ ข้าพเจ้ารู้สึกถึงความลำบากของแม่ที่อดทนเพื่อข้าพเจ้ามามาก เพราะแม่ต้องเลี้ยงน้องและข้าพเจ้าอยู่คนเดียว ส่วนพ่อแม้สบายมีเงินเดือนมาก แต่ก็ไม่สนใจข้าพเจ้า น้อง และแม่เลย ข้าพเจ้าจึงครุ่นคิดอยู่นาน กับการที่ข้าพเจ้าได้ทำสิ่งที่ไม่ดีไว้สารพัด และข้าพเจ้าคิดว่าต้องตอบแทนบุญคุณทั้งแม่และพ่อก่อนจะสายไป เมื่อข้าพเจ้ากลับบ้าน ข้าพเจ้าได้นำประสบการณ์และสิ่งดีๆ ที่ทำที่วัดวะภูแก้วมาใช้ เช่น การสวดมนต์ นั่งสมาธิ เคารพตอบแทนบุญคุณพ่อแม่บ้างเมื่อมีโอกาส อีกทั้งยังนำวิธีของพี่ปุ้ยมาใช้ในการเรียน จึงทำให้เกรดของข้าพเจ้าเพิ่มสูงขึ้นเป็น ๓.๘๔ และรักษาระดับเกรดต่อมาได้เรื่อยๆ แม่ของข้าพเจ้าดีใจและมีความสุขมากที่ข้าพเจ้ารู้สึกสำนึกได้ จึงทำให้ข้าพเจ้ามีแรงสู้ต่อไป จนกระทั่งจะเข้ามหาวิทยาลัย ข้าพเจ้าใฝ่ฝันไว้สูงมากโดยหวังจะเข้าคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ข้าพเจ้าจึงตั้งหน้าตั้งตาอ่านหนังสือ สวดมนต์ นั่งสมาธิ หนักพอสมควร แต่ข้าพเจ้าก็ทำไม่ได้ตามที่หวังไว้ ข้าพเจ้าคิดว่าคงเป็นเพราะกรรมเก่าที่ทำให้ข้าพเจ้าผิดหวังในครั้งนี้ แต่ถึงอย่างไรข้าพเจ้าก็ไม่ย่อท้อ และก็สอบได้คณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ข้าพเจ้าได้ตั้งจุดหมายว่า "อดีตที่เคยผิดพลาดจะเป็นครูสอนให้ข้าพเจ้ารู้ถึงสิ่งที่ถูกและผิด และจะมุ่งมั่นทำดีต่อไป" ข้าพเจ้าเรียนได้ในระดับหนึ่งซึ่งก็ดีพอสมควร และข้าพเจ้าก็จะทำดีต่อไปให้ประสบผลสำเร็จดังที่มุ่งไว้จริงๆ และผลพลอยได้ก็คือ พ่อกลับมาให้ความสนใจและช่วยเลี้ยงดูข้าพเจ้าเหมือนเดิม ต่อไปในชีวิตของข้าพเจ้าจะมีคำว่า "อดทน" และ "เรียนรู้" เพื่อความสำเร็จ และข้าพเจ้าจะไม่ลืมวัดวะภูแก้วที่ช่วยให้ข้าพเจ้ามีวันนี้ได้ และขอขอบพระคุณวัดวะภูแก้วที่ทำให้ข้าพเจ้าได้ดีในอนาคตสืบไป นางสาวศลิยา เพชรแก้วสุข ศิษย์เก่าโรงเรียนสิรินธร จังหวัดสุรินทร์ ปัจจุบัน นักศึกษาคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี
ค่าย รด. VS ค่ายธรรมะ
ผมอยากจะบอกจากใจจริงว่า ผมไม่อยากมาที่นี่เหมือนทุกคนนั่นแหละครับ และทุกคนก็รู้ดีว่าเราต้องจำใจมาเพราะครูฝ่ายปกครองเขาบังคับ ก่อนที่ผมจะมาที่นี่ ตัวผมเองนั้นเหนื่อยมาก เพราะว่าเพิ่งกลับมาจากค่าย รด. การฝึกทั้งร้อนและหนาว ทั้งเหนื่อย ทั้งหิว แถมกลับมาก็ยังเป็นไข้อีก พอกลับมาพักที่บ้านได้ ๑ วัน วันที่ ๒ ก็ไปโรงเรียนเพื่อไปฟังผลสอบ กลับเจอโชคร้ายเพราะฝ่ายปกครองบอกว่าใครไม่ไปเข้าค่ายจะไม่ให้ผ่าน ช่างไม่นึกถึงผมเลย ร่างกายของผมมันไม่ไหวแล้ว ก็เลยต้องจำใจไป ฉีดยา ๒ เข็ม เพื่อให้ร่างกายหายทันที่จะมาเข้าค่ายกับเพื่อนได้
พอมาถึงค่าย กลับแปลกใจที่ว่า บรรยากาศที่นี่ช่างเย็นสบาย แต่พอทำกิจกรรม น่าเบื่อมาก มีแต่นั่งสมาธิและเดินจงกรม ยิ่งปวดขาอยู่แล้ว เลยคูณ ๒ ไปเลย การมาเข้าค่ายครั้งนี้ ผมบอกไม่ถูกหรอกว่าผมมีสมาธิมากขึ้นหรือลดลง แต่ผมก็ทำอย่างเต็มที่ แล้วก็แปลกใจ ขาของผมที่เคยปวดหลังจากกลับจากการฝึก ตอนนี้หายปวดแล้ว ทั้งที่ต้องนั่งสมาธิทุกวัน ทั้งปวดขา ทั้งเจ็บ แต่กลับหายปวดได้อย่างไร เปรียบเทียบการเข้าค่าย รด. และค่ายธรรมะ การเข้าค่าย รด. ฝึกหนัก เจอทำโทษ ขาดสติ และปวดขามาก และเกิดอารมณ์โกรธ ร้อนใจ แต่การเข้าค่ายธรรมะ ทำให้ใจเย็น สงบ มีสติ และทำให้ร่างกายแข็งแรงและมีอารมณ์ที่ดีขึ้นมากครับ ผมเปรียบเทียบกันระหว่างค่าย รด. และค่ายธรรมะ ทรมานทั้ง ๒ ค่าย แต่ต่างกันตรงที่ว่า ค่าย รด. มีแต่เสริมความทุกข์ แต่ค่ายธรรมะช่วยลดความทุกข์ นายชัยชาญ เลื่อนตะคุ มัธยมศึกษาปีที่ 5/2 โรงเรียนสมเด็จพระธีรญาณมุนี
เด็กอาข่าเลิกนับถือผี มานับถือพระ ก่อนอื่นผมขอรายงานตัว ผมเป็นชาวเขาเผ่าอาข่า แต่เดิมผมไม่ได้นับถือศาสนาพุทธ บ้านผมเขานับถือผี แต่พอผมอายุได้ ๑๓ ปี แม่กับพ่อไม่มีเงินส่งให้เรียน เลยส่งผมให้มาอยู่ที่นี่ ปัจจุบันผมอยู่วัดโนนเมือง มีพระครูสีลวราภรณ์เป็นผู้ปกครอง ประสบการณ์คือหลวงพ่อเคยให้ผมไปปฏิบัติธรรมมาหลายสำนัก แต่สำนักอื่นๆ เขาไม่ได้ให้ความรู้เรื่องพุทธศาสนามากนัก มีเรื่องพระพุทธศาสนา พระพุทธเจ้าบ้าง บุญและบาปบ้าง และพระคุณพ่อแม่บ้าง แต่ก็เป็นส่วนน้อย แต่ที่สำนักวัดวะภูแก้วดีมาก เน้นสอนเรื่องบุญบาป เรื่องกรรมและกฎแห่งกรรม พระคุณพ่อแม่ และสมาธิภาวนา ผมดีใจมากที่ได้มาวัดนี้ ผมมีความเข้าใจและได้ความรู้มาก ทำให้ผมรักแม่มากขึ้น กลับไปผมจะไปกราบเท้าพ่อกับแม่ ผมขอขอบคุณวิทยากรทุกท่านที่สอนให้้เข้าใจในเรื่องต่างๆ ผมจะนำความรู้นี้ไปใช้ในชีวิตประจำวันของผมครับ และผมขอขอบคุณวัดวะภูแก้วที่ได้ให้โอกาสโรงเรียนขามสะแกแสงได้มาอบรมในครั้งนี้ นายคงเดช ลาเชกู่ มัธยมศึกษาปีที่ 4/4 โรงเรียนขามสะแกแสง
ตามรอยพี่ชาย ข้าพเจ้าไม่เคยมาวัดวะภูแก้วมาก่อนเลย แต่เมื่อ ๕ ปีที่แล้ว พี่ชายสุดที่รักของข้าพเจ้าเคยมาวัดแห่งนี้ พี่ชายข้าพเจ้า เป็นเด็กที่ผลการเรียนธรรมดามาก เกรดเฉลี่ยอย่างมากก็แค่ ๒ ต้นๆ แต่พอตอนขึ้น ม.๔ ทางโรงเรียนจัดโครงการมาอบรมที่วัดแห่งนี้ พี่ชายของข้าพเจ้าจึงได้มีโอกาสมาอบรมที่นี่ เมื่อ กลับไป พี่ชายของข้าพเจ้าได้ไปกราบเท้าพ่อแม่ซึ่งไม่เคยทำมา ก่อน และเป็นเด็กดีตั้งใจเรียน จนตอนมัธยมปลายดีขึ้นอย่างไม่ น่าเชื่อ เพราะได้เกรดถึง ๓.๘๐ เลยทีเดียว พอถึงตอนที่ต้องสอบ เข้ามหาวิทยาลัย พี่ชายของข้าพเจ้าก็สอบติดคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยขอนแก่น ทำให้พ่อแม่ตลอดจนคนรอบข้างภูมิใจในตัวพี่ชายคนนี้ของข้าพเจ้ามาก จากการที่พี่ชายของข้าพเจ้าเป็นคนดีขึ้นมาอย่างไม่น่าเชื่อ จึงทำให้ข้าพเจ้าอยากมาวัดนี้บ้าง
แล้ววันหนึ่งความหวังของข้าพเจ้าก็เป็นจริงเมื่อทางโรงเรียน ได้จัดโครงการมา ณ วัดแห่งนี้ ข้าพเจ้าดีใจมากที่ได้มา ในวันนี้ที่ต้องกลับบ้าน ข้าพเจ้าก็รู้สึกว่าข้าพเจ้าชอบที่นี่ขึ้นมาแล้ว ข้าพเจ้าอยากจะมีโอกาสกลับมาที่วัดนี้อีก และเมื่อข้าพเจ้ากลับไปบ้าน ข้าพเจ้าจะปฏิบัติตนเป็นคนดีตามแบบอย่างพี่ชายของข้าพเจ้าให้ได้นางสาวจรินทร ประยูรสุข มัธยมศึกษาปีที่ 4/5 โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล
ศิษย์ได้ดี เพราะได้ครูดี ดิฉันได้มีโอกาสรู้จักอาจารย์ดาราวรรณ เด่นอุดม ครั้งแรก เมื่อครั้งไปปฏิบัติธรรมที่วัดอัมพวัน หลวงพ่อได้เปิดเทปรายการคลับเซเว่น ให้ผู้ปฏิบัติธรรมดูในคืนวันสุดท้ายของการอบรม ได้ดูครั้งแรกรู้สึกศรัทธาเป็นอย่างมาก และคิดว่าการปฏิบัติธรรมที่นี่ น่าจะเป็นประโยชน์กับลูกศิษย์ดิฉัน ดังนั้น ดิฉันจึงแนะนำให้พ่อกับแม่พาลูกเขามา ลูกศิษย์และเพื่อนของเขาตอบตกลงอย่างอิดออดแต่ก็ยอมมา ในตอนแรกดิฉันไม่ได้คิดว่าจะมาปฏิบัติธรรมกับเด็กๆ ด้วย แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะแม่ของลูกศิษย์ไม่สามารถ อยู่ร่วมการอบรมได้ ประกอบกับความอยากรู้อยากเห็นส่วนตัวว่าที่นี่มีวิธีการสอนปฏิบัติธรรมอย่างไร
จากวันแรกจนถึงวันสุดท้าย ลูกศิษย์มีพัฒนาการที่ดีขึ้น รู้สึกว่าอยากอ่านหนังสือ และมีความตั้งใจในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น และหวังว่านี่จะเป็นเสมือนเทียนที่อยู่ในใจของพวกเขา คอยส่องนำทางและคอยเตือนสติให้พวกเขาต่อไปในอนาคต ส่วนตัวดิฉันเองก็ได้รับความรู้ ความเข้าใจ ในการปฏิบัติธรรมมากขึ้น ที่สำคัญคือทำให้เปลี่ยนทัศนคติที่ว่า สมาธิคือการนั่งบริกรรมหลับตาและเดินจงกรมอย่างเดียว แต่สมาธิสามารถอยู่กับเราได้ตลอดเวลา และธรรมะไม่ใช่เรื่องของคนแก่ หากแต่เป็นเครื่องเตือนสติและเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิตให้เราได้ในยามที่เราเกิดทุกข์ ธรรมะเป็นเรื่องทันสมัยที่สุดและจำเป็นอย่าง ยิ่งสำหรับคนทุกเพศ ทุกวัย สุดท้าย ดิฉันขอขอบพระคุณองค์พระสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ได้ตรัสรู้พระธรรมอันประเสริฐมาให้หมู่มวลมนุษยชาติ ขอขอบพระคุณหลวงปู่พุธ ฐานิโย ผู้มีเมตตาแก่เด็กๆ ทั้งหลาย ขอขอบพระคุณ ดร. ดาราวรรณ เด่นอุดม ที่มีเมตตาจิตอันสูงส่งเปิดโครงการอบรมที่ดีเพื่อสังคมแบบนี้ และต้องขอขอบคุณตัวเองที่ให้โอกาสตัวเองได้มาปฏิบัติในสิ่งที่ดีเช่นเดียวกัน นางสาวตวงพร ณธัชพงศ์ (อบรมสมทบ)
สอนได้หรือไม่ได้ ขึ้นอยู่กับจิต
ผมเคยนั่งสมาธิมาหลายครั้งแล้ว แต่เพิ่งได้มาปฏิบัติที่วัดวะภูแก้วเป็นครั้งแรก จิตสงบบ้าง ฟุ้งซ่านบ้าง เป็นบางที พอนั่งสมาธิบ่อย จิตก็สงบมากขึ้น
ครั้งหนึ่ง วิทยากรได้เปิดเทปเรื่องดวงใจแม่ ผมนั่งไปนั่งมา รู้สึกตัวโยกไปมา ผมจึงนั่งไปเรื่อยๆ ก็เกิดแสงบ้าง วงกลมบ้าง วงกลมมีหยักข้างนอก สีเขียว สีม่วง สีฟ้า สีแดง สีขาวบ้าง สลับกันไป แล้วก็รู้สึกเหมือนมีคนมาหยิกแก้มแบบเบาๆ แล้วผมก็ รู้สึกว่าคำบริกรรมหายไป ผมมองแสงที่เกิดไปเรื่อยๆ รู้สึกว่าผม มีความสุขอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมมีความสุขมากจนผมยิ้มแม้ผมจะอยู่ในสมาธิ ผมมองแสงที่เกิด แสงก็กลายเป็นดอกบัวตูม สีน้ำเงิน ผมก็คิดถึงคำสอนของพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าทรงเปรียบคนเรากับดอกบัว ๔ เหล่า คือ บัวตูมใต้โคลน คือคนที่สอนไม่ได้ บัวตูมใต้น้ำ คือคนที่สอนยากมาก บัวตูมระหว่างน้ำกับบนน้ำ คือคนที่สอนได้บ้างสอนไม่ได้บ้าง บัวสุดท้ายคือบัวบาน บนน้ำ คือคนที่ว่านอนสอนง่าย ผมจึงคิดได้ว่าคนเราจะสอนได้ หรือสอนไม่ได้ มันอยู่ที่จิต ถ้าจิตมันเอา มันก็เอา ถ้าจิตมันไม่ เอา มันก็ไม่เอา จากการนั่งสมาธิครั้งนั้น ก็ทำให้จิตผมสงบเป็นอย่างมากในใจผมคิดว่าคนเราหนีความตายไม่ได้ และคนเราเกิดมาชดใช้กรรมและเสวยกรรม
นายนพรุจ ดวงจิตร มัธยมศึกษาปีที่ 4/7 โรงเรียนครบุรี
นั่งสมาธิให้แม่ ฉลองวันเกิดดีกว่า ในการเข้าค่ายอบรมพัฒนาจิต นักเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๔ โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล ผมรู้มาก่อนแล้วว่าจะได้มาเข้าค่ายนี้ผมจึงได้เตรียมตัวเตรียมใจรอนานแล้ว โดยผมคิดว่ามันจะต้องยากลำบาก จะคิดถึงบ้าน คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ พอถึงก่อนวันจะไป ผมก็ยังทำใจไม่ค่อยได้ เพราะผมไม่เคยเข้าค่ายอบรมถึง ๕ วัน ซึ่งในวันอบรม ๒๔-๒๘ มิถุนายน เป็นวันที่อยู่ในช่วงวันเกิดของผมด้วย ซึ่งผมคิดว่าวันเกิดปีนี้น่าได้จะอยู่บ้าน ฉลองที่บ้าน
แต่พอมาแล้วได้ฟังวิทยากรสอนเรื่องพระคุณพ่อ-แม่ โดยบอกว่า วันเกิดของเราเป็นวันที่แม่คลอดเรามา เป็นวันเจ็บปวดของแม่ ขณะนั้นผมคิดว่า เราน่าจะทำบุญในวันเกิดโดยนั่งสมาธิให้แม่ ดีกว่าเราจะไปฉลองวันเกิด จึงทำให้ผมตั้งใจปฏิบัติอย่างมากในการอบรมจิตใน ๕ วัน นับเป็นโอกาสดีจริงๆ ในการทำบุญวันเกิด การมาที่นี่ได้อะไรๆ ไปเยอะเลย ได้สมาธิ ได้ปัญญา มีจิตสำนึกที่ดี และอิ่มบุญ กลับบ้านอย่างมีความสุข นายอาทิตย์ ชัยอาวุธ มัธยมศึกษาปีที่ 4/5 โรงเรียนชัยภูมิภักดีชุมพล
หลงใหลในการปฏิบัติ ก่อนมาเข้าค่ายผมทำตัวเกเรมาก ไม่เคยตั้งใจฟังครู แต่การมาที่นี่ ผมไม่ได้ถูกบังคับให้มา ผมมาด้วยใจที่จะมาปฏิบัติธรรม วันแรกผมคิดว่าที่นี่มันค่ายทหารหรือเปล่า ทำไมถึงมีแต่กฎและข้อปฏิบัติ ผมคิดว่าเราจะอยู่ได้หรือไม่ แต่พอผมคิดถึงตอน เข้าค่าย ร.ด. ผมว่ามันโหดกว่านี้
พอวันที่สอง ผมก็ตั้งใจปฏิบัติและรู้ว่า การที่มีกฎและข้อปฏิบัติมันทำให้เราเกิดความมีวินัยในการปฏิบัติตน ผมนั่งสมาธิทุกวัน มันทำให้ใจสงบเป็นสมาธิ ผมอยู่ไปก็ชอบและหลงใหลในการปฏิบัติธรรมจนไม่อยากกลับบ้านเลย ผมไม่เคยคิดว่าวันแต่ละวันที่นี่เป็นวันที่ไร้สาระ แต่ให้สาระมากมายและสามารถนำไปใช้ในชีวิตประจำวันได้ ดร. ดาราวรรณ สอนผมว่า ต้องจริงใจ อดทน และมีหลายข้อคิดที่จะต้องติดตาม ท่านบอกว่าการเรียนเก่งจะต้องทำอย่างนี้ ๑. หันตัวไปทางคุณครู ๒. เตรียมสมุดปากกาและอุปกรณ์ให้พร้อม ๓. จ้อง-จด จด-จ้อง
ผมจะนำไปปฏิบัติให้เกิดผลอย่างที่ท่านบอก นี่แหละจะทำให้เราเรียนเก่ง คำสอนทุกคำของท่านผมจะไม่ลืม จะนำไปปฏิบัติทุกข้อ วันสุดท้ายเป็นวันที่ทำให้ผมรู้ถึงพระคุณของพ่อแม่ว่ามีมากมายมหาศาลหาอะไรมาเปรียบนั้นไม่มี ที่ผมมาเข้าค่ายเพื่อหาความสงบ แต่ในความสงบให้ความรู้มหาศาล จนอยากจะขอขอบคุณ ดร. ดาราวรรณ และคณะวิทยากร ที่มาให้ความรู้จนไม่รู้จะตอบแทนอย่างไร นายสิปปนนท์ สอนจันดา มัธยมศึกษาปีที่ 5/3 โรงเรียนจักราชวิทยา
ถึงอกหักจนแฮงก์ก็ตัดใจได้ คนที่เข้าวัด บางคนมาเมื่อไม่มีลมหายใจแล้ว บางคนยังมี ลมหายใจ เข้ามาเพื่อหาความสนุกสนาน บางคนก็มาตามเพื่อน (ประเภทที่ว่าเพื่อนไปไหนเราไปด้วย) แต่สำหรับข้าพเจ้าแล้วไม่มีจุดประสงค์ เพราะว่าข้าพเจ้าไม่ได้อยากมา ตอนแรกมีเข้าค่ายวงดนตรีลูกทุ่งเพื่อไปแข่งยามาฮ่าที่ขอนแก่น แต่เขาเลื่อนวัน เข้าค่าย ตลอดเวลาข้าพเจ้าไม่อยากมา ได้แต่คิดว่าจะมาทำไม นักเรียนอย่างเราๆ ก็ซึ้งได้แค่ ๒-๓ วันเท่านั้นแหละ เดี๋ยวสันดาน มันก็เหมือนเดิม มันแก้ไขไม่ได้หรอก
ก่อนจะมา ข้าพเจ้ายอมรับเลยว่าข้าพเจ้ามีความรักที่ไม่สมหวัง เรียกง่ายๆ ตามประสาวัยรุ่นว่า "อกหักจนแฮงก์" ก็ในเมื่อไม่ไปก็ไม่ได้ (ครูบังคับ) ก็ไปมันเสียเลย ถือโอกาสไปทำใจเสียเลย พอมาถึงก็ อ้าว!!! เวรแล้ว คิดผิด คิดใหม่ มีสัมมาทิฏฐิทันทีเลย เพราะว่าสถานที่ร่มรื่น น่าสงบกายสงบใจยิ่งนัก ตอนแรกนึกว่าจะเป็นวัดป่าเก่าๆ ที่ไหนได้ สวยซ่อนลึกจริงๆ วันที่ ๑-๓ นั่งสมาธิไม่สงบเลย เพราะไม่ตั้งใจ หลับตาก็เจอหน้าคนใจร้าย ลืมตาก็เห็นหน้าคนใจร้าย (เอ๊ะ! ยังไง) ทำให้ไม่มีสมาธิ จนมาถึงวันที่ ๔ ได้ถาม ดร. ดาราวรรณ ตอนภาคบ่าย ที่ให้ถามคำถาม ผมก็ถามไปถึงวิธีตัดอกตัดใจ ท่านบอกอย่า เพิ่งคิดอะไร เรามีหน้าที่เรียน ไม่ใช่รัก ทำให้ข้าพเจ้าสว่างเลย ข้าพเจ้ากลับมาทำสมาธิ จากตอนแรกที่บริกรรมคำว่า "ทำใจ" ก็เปลี่ยนมาเจริญพุทธานุสสติ ท่องคำว่า "พุทโธ" แทน จนข้าพเจ้าทำสมาธิได้ ทำให้ข้าพเจ้าอิ่มเอิบเลย เมื่อระลึกได้ ทำได้ ก็ได้กุศล แถมแรงด้วย จากนั้น พอได้มาฟังธรรม "ดวงใจแม่" ก็เลยลืมและตัดใจจากคนใจร้ายขาดไปเลย เพราะถึงเราไม่เหลือใคร ก็เหลือแม่ของเราอยู่ แม่คือคนที่รักเราที่สุด ข้าพเจ้ากลับไปบ้านจะไปกราบแม่และกระซิบกับท่านเบาๆ ว่ารักแม่ครับ และจะเป็นคนดีที่น่ารักของแม่ตลอดไป และถ้ามีโอกาส จะไปถือศีล ๘ เจริญวิปัสสนากับแม่ เพราะแม่ไปบ่อย แม่ก็ชวนแต่ไม่ไป เพราะคิดว่าไร้สาระ กลับไปจะตั้งใจเจริญสมาธิเพื่อทำปัญญาให้แจ้ง และจะเป็นคนดีของสังคมตลอดไป นายสหชัย สง่าญาติ มัธยมศึกษาปีที่ 4/1 โรงเรียนขามสะแกแสง
คุ้มยิ่งกว่าโปรโมชั่นตามห้าง ข้าพเจ้าว่า การจัดอบรมครั้งนี้มีความหมาย มีสาระมาก และข้าพเจ้าพึงพอใจที่สุดในชีวิตที่เขาจัดการอบรม ที่ไหนๆ ก็ไม่มีสาระมากถึงขนาดนี้ ข้าพเจ้าว่ามันคุ้มมาก คุ้มเสียยิ่งกว่าโปรโมชั่นตามห้างเสียอีก
ข้าพเจ้ามีความสุขนะที่ได้อยู่ที่นี่ ทั้งอิ่มบุญและอิ่มอกอิ่มใจที่สุดในโลกเลยค่ะ ทำให้ข้าพเจ้าได้เข้าใจในสิ่งที่ไม่เข้าใจมาตลอด ตอนแรกพ่อข้าพเจ้าไม่ให้มา เพราะพ่อข้าพเจ้าเป็นอิสลาม แต่แม่ก็ตามใจข้าพเจ้า ข้าพเจ้าจึงได้ตัดสินใจมา เพราะเห็นว่าการ เข้าวัดเข้าวาไม่ได้เสียหายตรงไหน อยากบอกว่าขอบพระคุณที่ทำให้ข้าพเจ้ารู้จักศาสนาพุทธอย่างเต็มเปี่ยม นางสาวปิยะนัฎ แม้นมินทร์ มัธยมศึกษาปีที่ 4/3 โรงเรียนปักธงชัยประชานิรมิต
ความคิดเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หนูเป็นอีกคนหนึ่งค่ะที่เคยเกลียดพุทธศาสนาที่สุด นั่นเป็นเพราะปัจจุบันสังคมเสื่อมทราม มีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับสงฆ์หลายอย่าง หนูเลยเหมารวมเอาเลยว่าศาสนาพุทธแย่ คิดว่าที่พระพุทธเจ้า ตรัสรู้เรื่องทุกอย่างแค่นี้ใครๆ ก็ทำได้ บางครั้งหนูกับแม่ยังเคยดูหมิ่นพุทธศาสนาเลยค่ะ หนูเคยไปวัด เมื่อก่อนหนูศรัทธาพุทธศาสนาเป็นอย่างมาก ก็อย่างที่บอก สังคมเสื่อมทราม หนูจึงเอาความเสื่อมของสังคมมาเป็นเครื่องตัดสินศาสนาอย่างไร้สติ แล้วต่อมาหนูกับแม่ก็เปลี่ยน ความคิดจากที่เคยเคารพก็มาไม่นับถือเสียอย่างนั้น พระท่านสอน "อย่าฆ่าสัตว์" คำนี้หนูจำได้ดี แต่หนูยังพูดว่า "พระก็พระเถอะ บอกแต่ว่าอย่าฆ่าสัตว์ เวลานำเนื้อไปถวายก็กิน ไม่เห็นนึกอะไรเลย" แต่มาถึงตอนนี้ หนูได้มาที่วัดวะภูแก้ว มาปฏิบัติธรรม (ซึ่งไม่เต็มใจมาเลยแม้แต่น้อย) ความคิดของหนูได้เปลี่ยนไปสิ้นเชิง หนูรู้แล้วว่า พระพุทธองค์ทรงประเสริฐเหนือสิ่งใด ทรงเป็นศาสดาที่ดีที่สุด เมื่อก่อนหนูเคยพูดกับเพื่อนเสมอค่ะว่า "เกิดมาเป็นชาว พุทธซวยจริงๆ" เพื่อนถามว่าทำไมจึงคิดอย่างนั้น หนูก็บอกว่า "เพราะว่ามันห่วยแตก" แล้วหนูก็บอกอีกว่าหนูโกรธพ่อแม่มากเพราะว่าท่านเขียนในใบเกิดให้หนูว่าหนูคือชาวพุทธ หนูโกรธมาก หนูมีความคิดด้วยว่าหนูจะเปลี่ยนเป็นคริสต์ให้ได้ แม่ก็บอกว่า "เป็นพุทธดีแล้ว ถึงแม่จะไม่ชอบพระเท่าใดนัก แต่ก็ดีกว่าคริสต์หรอก" แต่หนูก็ไม่เชื่อท่านเลยแม้แต่นิดเดียว ในวันแรกที่มาที่วัดวะภูแก้ว หนูรู้สึกว่าวัดนี้น่าอยู่มาก รู้ว่าชอบที่นี่ แต่แค่วัน ๒ วันเปลี่ยนความคิดของหนูไม่ได้เลย จนวันที่ ๓ ความคิดของหนูก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนไปมาก หนูรู้สึกดีเมื่อได้สวดมนต์ภาวนา ถึงแม้ว่าจะเมื่อยมาก ง่วงนอนมากก็ตามที หนูเต็มใจที่สุดที่จะกราบพระอย่างนอบน้อม ไม่เหมือนหลายปีก่อนที่ผ่านมา ก็อย่างที่บอก ความคิดหนูเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง หนูได้มาเรียนรู้ว่ายังมีสงฆ์ผู้สืบทอดศาสนาอีกมากมายนักที่มีเมตตา ดำรงตนอยู่ในศีล การได้มาที่วัดแห่งนี้ หนูรู้เลยค่ะว่าชีวิตคืออะไร เป็นอย่างไร หนูรู้สึกดีเหมือนกับตัวเองพบทางสว่าง ไม่มีอคติเหมือนเมื่อก่อน อารมณ์เย็นลง มีสติ เป็นสมาธิ หนูมาที่นี่ได้คิดอะไรหลายๆ อย่าง คิดถึงที่หนูเคยกระทำทั้งเจตนาและไม่เจตนา หนูจึงตั้งใจว่า เมื่อกลับไปถึงบ้าน หนูจะปรับปรุงตัวเองใหม่ จะไม่ว่าร้ายศาสนา ไม่รังแกสัตว์ ต่อไปนี้หนูจะไม่โมโหร้าย และจะตั้งใจเรียนให้ดีที่สุด การมาวัดวะภูแก้วในครั้งนี้ มันดีมากเลยค่ะ ทำให้คนๆ หนึ่งซึ่งห่างไกลศาสนาอย่างหนูได้มีโอกาสแก้ตัว ได้แง่คิดดีๆ ได้รู้ถึงรสพระธรรมคำสอนของพระพุทธองค์ เมื่อหนูกลับไปที่บ้าน หนูจะบอกทุกคนให้ทำความดี บอกถึงสิ่งที่หนูได้รับในการมาวัดวะภูแก้วในครั้งนี้ หนูดีใจมากที่ได้รับโอกาสดีๆ เหล่านี้ หากว่าหนูไม่ได้มาที่วัดวะภูแก้ว หนูคงไม่สามารถมองเห็นสิ่งล้ำค่าเหล่า นี้ได้ เมื่อหนูมีโอกาส หนูจะกลับมาที่วัดแห่งนี้อีกครั้งหนึ่งค่ะ นางสาวจุฑาทิพย์ ครูทำสวน โรงเรียนพระทองคำวิทยา
|
Last Updated on Thursday, 23 February 2012 09:33 |