Thursday, 12 January 2012 04:44 |
รวมรูปภาพ สไลด์โชว์ ของหลวงพ่อพุธ ฐานิโย
พบหลวงตามหาบัว... พบมิติแห่งจิต อุดรธานี ปี 2518 เป็นครั้งแรกที่หลวงพ่อพุธได้พบกับ "หลวงตามหาบัว" ภาพที่จับใจหลวงพ่อพุธก็คือ การที่ท่านได้มีโอกาสสนทนาธรรมเพื่อขอคำชี้แนะจากหลวงตามหาบัว
วันนั้นหลวงพ่อพุธได้ถามถึงเรื่อง "จิต" ซึ่งคำตอบของหลวงตามหาบัวก็ได้ก่อให้เกิดความเปลี่ยนแปลงบางอย่างภายในจิตของหลวงพ่อพุธ ... “หลวงตา จิตเมื่อมันเข้าสมาธิที่ถึงขนาดที่ร่างกายตัวตนหายไปหมด มันสามารถรู้เห็นอะไรได้ไหม ?” “ไม่ตอบ”
“ไม่ตอบก็แสดงว่าหลวงตายอมรับ”
หลวงตามหาบัวไม่ตอบ สิ่งที่ท่านใช้แทนคำตอบก็คือ ...
“สมัยที่เราอยู่ปรนนิบัติหลวงปู่มั่น หลวงปู่มั่นท่านจะเทศน์อะไรเราไม่สนใจ เรากำหนดจิตรู้จิตของเราอย่างเดียว เรามีหูท่านเทศน์ เราก็ได้ยิน จิตเราก็รู้”
คำพูดประโยคสั้น ๆ เพียงไม่กี่คำของหลวงตามหาบัวทำให้หลวงพ่อพุธฉุกคิดแล้วย้อนกลับมาพิจารณา "ธรรมชาติของจิต" ในรายละเอียดอีกครั้ง ที่สุดท่านก็พบว่า การทำงานของจิตนั้นแบ่งออกเป็น 3 มิติ มิติแรกคือ "จิตทำหน้าที่คิด" มิติต่อมาคือ "จิตที่ทำหน้าที่เฝ้าดู" มิติสุดท้ายคือ "จิตที่ทำหน้าที่วางเฉย" ...
"... ในขณะจิตของเรามันเกิดความคิด ถ้าเราไม่ฝืน ปล่อยให้ไปตามธรรมชาติของมัน ถ้าความคิดที่มันเกิดขึ้นมาเองนี้ ความรู้ตัวนี่เราไม่ได้ตั้งใจ มันจะรู้พร้อม ๆ ๆ ๆ กันไป ทีนี้ถ้าหากว่าสมาธิมีพลังงาน ในขณะนั้นความคิดมันจะแยกออกไปอีกส่วนหนึ่ง และอีกส่วนหนึ่งคล้าย ๆ กับว่ามีผู้เฝ้าดูงาน ถ้ากายกับจิตยังมีความสัมพันธ์กันอยู่ เราจะรู้สึกว่าจิตส่วนหนึ่งมันเข้ามานิ่งอยู่ในท่ามกลางของร่างกาย มันกลายเป็นสามมิติ มิติหนึ่งคิดไม่หยุด อีกมิติหนึ่งเฝ้าดู อีกมิติหนึ่งมานิ่งเฉยอยู่ ตัวที่นิ่งเฉยอยู่นั้น เป็นจิตใต้สำนึก ตัวคอยเก็บผลงาน ตัวที่มันคิดไม่หยุดยั้งแล้วก็รั้งไม่อยู่ในตัวนั้นเป็นจิตเหนือสำนึก ซึ่งมันเกิดขึ้นมาเองโดยพลังของสมาธิ นี่... ธรรมชาติของจิตเมื่อมันเกิดมีปัญญาแล้ว มันจะเป็นอย่างนี้ อย่างบางทีนี่เราตั้งใจพิจารณากายคตาสติ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก ความตั้งใจในการพิจารณาของเราก็รู้สึกว่ามีอยู่ สติก็รู้สึกว่าเรารู้พร้อมอยู่ ทั้ง ๆ ที่จิตยังไม่สงบถึงขนาดความเป็นเองโดยอัตโนมัติ บางครั้งมันก็มีการแยกส่วนของมัน ไอ้ตัวที่มานั่งอยู่ในท่ามกลางก็มีอยู่ ตัวที่พิจารณาก็พิจารณาไป ตัวที่เฝ้าดูงานก็เฝ้าดูไป มันจะเป็นของมันอย่างนี้ ทีนี้ปัญหาที่ว่า เราจะแยกจิตจากอารมณ์ ให้อารมณ์ก็เป็นส่วนหนึ่ง จิตก็เป็นส่วนหนึ่ง เราจะทำอย่างไร ไม่มีทางที่จะทำได้ นอกจากว่า เรามีสติรู้อารมณ์จิตอยู่ในปัจจุบัน พอถึงขั้นตอนแล้วจิตเขาจะแยกของเขาเอง เราจะไปตั้งใจแยกมันไม่มีทาง ต้องให้มันเกิดสมาธิถึงขนาดที่เป็นอัตโนมัติโดยที่เราไม่ได้ตั้งใจ ทุกสิ่งทุกอย่างมันพร้อมปฏิวัติตัวไปเองโดยอัตโนมัติ นั่นแหละมันจึงจะแยก "ฐีติภูตัง" ของ หลวงปู่มั่น นั่นแหละคือจุดที่จิตกับอารมณ์แยกจากกัน ในลักษณะอย่างที่ว่านี้ จิตสงบ นิ่ง เด่น สว่างไสวอยู่ สิ่งรู้ของจิตทั้งหลายนี้มันมาวนรอบจิตอยู่ แต่พอมาถึงความสว่างของจิตแล้วมันตกไป ๆ เหมือนแมลงบินเข้ากองไฟที่มาจาก หนังสือ "วินาทีบรรลุธรรม พระอรหันต์มีจริง" เล่ม 5
|