การเกิดขึ้นของสมาธิจิต |
Sunday, 03 May 2009 01:25 | |||
การเกิดขึ้นของสมาธิจิต ๑. ห้ามฆ่าสัตว์ การกระทำบาปทุกอย่าง แม้ว่าจะทำให้จิตเศร้าหมอง หรือเป็นผลบาปผลกรรม แต่ก็ไม่ร้ายแรงเท่าการละเมิดศีล ๕ ผู้ตั้งใจสมาทานศีล ๕ สังวรระวังรักษาอยู่ในศีล ๕ ได้ชื่อว่าเป็นการตัดผลเพิ่มของบาปกรรม บาปกรรมที่จะทำให้ผู้กระทำไปตกนรกนั้น มีเพียงการละเมิดศีล ๕ ข้อเท่านั้น บาปกรรมอื่นๆ จะมีบ้างก็มีแค่ทำความหมองใจ ไม่ถึงกับยังผลให้ผู้ทำไปตกนรก ผู้ใดมีเจตนาแน่วแน่ว่าจะรักษาศีล ๕ ให้บริสุทธิ์สะอาดตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ก็จะเป็นการตัดผลเพิ่มของบาปกรรม เราเคยทำบาปกรรมอันใดไว้แต่ในอดีต เมื่อมาบำเพ็ญศีล ๕ ก็เป็นอันว่ายุติกันเพียงแค่นี้ ในอดีตชาติมีบาปกรรมอยู่เท่าใดมันก็มีอยู่เพียงเท่านั้น เมื่อเรามีศีล ๕ แล้วผลเพิ่มย่อมไม่มี และศีล ๕ นี่แหละเป็นพื้นฐานให้เกิดสมาธิ ผู้ภาวนาจะสำเร็จมรรคผลนิพพานก็ต้องอาศัยศีลเป็นหลักสำคัญ สมาธิที่ไม่มีศีลก็สามารถจะทำจิตให้เป็นสมาธิได้ แต่ไม่เป็นไปเพื่อมรรคผลนิพพาน สมาธิที่จะยังผู้ปฏิบัติให้สำเร็จมรรคผลนิพพานขึ้นต้นด้วยการมีศีล ๕ ถ้าหากไม่มีความจำเป็นอย่าไปสมาทานศีลให้เพิ่มมากขึ้น ศีลที่ว่าจะเป็นบาปเป็นกรรมกันจริงๆ คือศีล ๕ ข้อ ส่วนใหญ่เราสมัครใจอยากจะมีศีล ๒ ชั้น และเพิ่มอีก ๓ ข้อข้างท้าย (ศีล ๘) แต่เมื่อสมาทานแล้ว เรารักษาให้บริสุทธิ์บริบูรณ์ไม่ได้ มันก็เป็นการสร้างบาปสร้างกรรมให้กับตัวเองโดยไม่มีเหตุผล คฤหัสถ์ผู้มั่นในศีล ๕ รับประทานข้าวเย็นได้ ตกแต่งร่างกายด้วยเครื่องประดับต่างๆก็ได้ ประดับด้วยของหอม เครื่องย้อม เครื่องทาก็ได้ จะฟังขับร้องประโคมดนตรีหรือตนเองจะประโคมเองก็ได้ไม่ผิดศีล แต่ถ้าเราไปสมาทาน ๓ ข้อข้างปลายและรักษาไม่ได้ก็เป็นการสร้างบาปให้แก่ตัวเอง ขอให้ท่านทั้งหลายจงทำความเข้าใจอย่างนี้ ในเมื่อเรามีศีล ๕ บริสุทธิ์บริบูรณ์แล้ว ศีล ๘ ก็ดี ศีล ๑๐ ก็ดี ศีล ๒๒๗ ก็ดี จะเพิ่มขึ้นเองโดยอัตโนมัติโดยเราไม่ตั้งใจ เพราะฉะนั้น ผู้ที่มุ่งจะละชั่ว ประพฤติดี ต้องตั้งใจให้มั่นคงอยู่ที่ศีล ๕ ข้อ ความดีที่จะเป็นที่พึ่งอย่างแน่นอนก็คือการทำสมาธิ การปฏิบัติสมาธิเป็นหลักการทำจิตให้มั่นคง คือมั่นคงในการบุญการกุศล เมื่อสมาธิมีแล้วปัญญาย่อมเกิดขึ้นเอง ถ้าท่านผู้ใดตั้งใจแน่วแน่ลงไปว่าจะภาวนาพุทโธๆๆให้ได้วันละ ๓ ครั้ง ครั้งละ ๑ ชั่วโมง แล้วก็ตั้งใจทำไป จิตจะสงบก็ตาม ไม่สงบก็ตาม อดทนทำไปเรื่อยๆ ตั้งใจจริงแล้วผลย่อมจะเกิดขึ้นมาเอง จิตเป็นสมาธิดีแล้ว ไม่ต้องกลัวว่าวิปัสสนากัมมัฏฐานจะไม่เกิด ขอให้มีสมาธิคือสมถะอย่างเดียวเป็นพอ เพราะ สมาธิทำให้เกิดปัญญา ดังที่ได้กล่าวไว้ข้างต้นว่า ศีลอบรมสมาธิ สมาธิอบรมปัญญา ปัญญาอบรมจิต เพราะฉะนั้น เมื่อมีศีลบริสุทธิ์จิตก็สงบเป็นสมาธิเอง ถ้ามีสมาธิดีแล้วปัญญาก็ย่อมเกิดขึ้นเอง ปัญญาเกิดขึ้นแล้ว จิตย่อมรู้ทันเหตุการณ์ต่างๆ ทั้งภายในและภายนอก จิตก็จะมีความบริสุทธิ์สะอาดขึ้นเอง มีสติปัญญาเฉียบแหลมว่องไวเท่าใด จิตก็ย่อมจะใสสะอาดบริสุทธิ์ยิ่งขึ้น จิตจะรู้เท่าทันเหตุการณ์ทั้งภายนอกและภายใน นี่คือหลักการปฏิบัติในเบื้องต้น บัดนี้เราได้มีโอกาสมาพบกันในฐานะที่เราเป็นพุทธบริษัทด้วยกัน เรามีพระพุทธศาสนาเป็นหลักธรรมประจำจิตใจ เมื่อเราไหว้พระ เราอ้างถึงพระพุทธเจ้า พระธรรมและพระสงฆ์ โดยยึดถือว่าเป็นที่พึ่ง ที่ระลึก ก็ขอทำความเข้าใจกับท่านทั้งหลายก่อน บางท่านอาจจะสงสัยว่าพระพุทธเจ้าคืออะไร อยู่ที่ไหน พระธรรมคืออะไร อยู่ที่ไหน และพระสงฆ์คืออะไร อยู่ที่ไหน ที่เราไหว้พระกันทุกวันนี้ เราอาจนึกว่า พระพุทธเจ้าคือพระพุทธรูป พระธรรมคือคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็นึกไปถึงพระคัมภีร์ที่อยู่ในตู้ในวัด พระสงฆ์ก็คือลูกหลานของชาวบ้านที่สละเพศฆราวาสออกบวช อาจจะคิดไปอย่างนั้น ถ้าหากเราคิดเช่นนั้น เราก็จะเข้าใจว่า พระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ห่างตัวเรา พึงทำความเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมก็ดี พระสงฆ์ก็ดี อยู่ที่จิตใจของเราเอง อยู่ที่ใจของเราทุกๆคน คำว่า”พระพุทธเจ้า” ฉะนั้น ปัญหาที่ว่า พระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์คืออะไร และพระพุทธเจ้า พระธรรม และพระสงฆ์อยู่ที่ไหน ก็พอที่จะเข้าใจและสรุปได้แน่ชัดว่าอยู่ที่จิตที่ใจของเรานั่นเอง
|